
Interview: ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค
เศรษฐกิจโลกยังเป็นขาลงต่อไป โดยมีสงครามการค้าเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ส่วนเศรษฐกิจไทยยังแย่ต่อเนื่อง แม้ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ค่าเงินบาทที่แข็งผิดปกติ ตลอดจนการส่งออก รวมถึงการลงทุนภาครัฐ-เอกชนที่ลดลงอย่างมากจะฉุด GDP ให้โตแค่ 4%
- 2 เดือนแรกของปี 2019 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูแล้วเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังมีปัญหาเรื่องการชะลอตัว ที่เพ่งเล็งมากที่สุดคือจีน เพราะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้า ส่วนสหรัฐฯก็ชะลอบ้างแต่ไม่มาก ตัวเลขล่าสุดที่ออกมาก็ใกล้ๆ 3% ส่วนปีนี้ก็ประมาณ 2% ก็ถือว่าชะลอลงบ้าง แต่ถือว่าค่อนข้างดี เป็นอัตราปกติสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังไปได้ราบรื่น
แต่เศรษฐกิจของประเทศอื่นดูไม่ดีนักโดยเฉพาะทางเอเชีย มีหลายเรื่อง อย่างปัญหาจีนกับสหรัฐฯขัดแย้งกัน และมาตรการปกป้องทางการค้าที่สหรัฐฯใช้กับจีนก็กระทบ supply chain ไปในประเทศอื่นในเอเชียด้วย
ส่วนยุโรปยังไปไม่ค่อยดีนัก อาจจะต้องถึงขั้นว่ามีการปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายขึ้นหรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่ ECB ดูอยู่ อังกฤษยังรู้สึกว่าเดินไปแบบไม่ค่อยจะดีนักในเรื่อง brexit คือ ไม่สามารถตัดสินใจได้เป็นชิ้นเป็นอัน ก็จะต้องเลื่อนไปเรื่อยๆ สร้างความไม่มั่นใจต่อนักลงทุน
ภาพเศรษฐกิจโดยรวมถือว่ามาได้ถึงวันนี้ก็แย่พอสมควร ในอนาคตยุโรปและอังกฤษยังไม่ดีนัก โดยรวมยังไปไม่ค่อยดีแบบเมื่อก่อน ปีนี้หรือปีหน้าอาจจะเป็นปีที่น่าคิด โดยเฉพาะปีหน้าถ้าความขัดแย้งทางการค้าของจีนและสหรัฐฯ ยังตึงเครียดต่อไปก็อาจจะเป็นปีที่ยังมีปัญหาอยู่ แต่ถ้าเขาสามารถพักรบกันสักนิด ปีหน้าอาจจะไม่แย่ลงไปมาก อาจจะใกล้เคียงกับปีนี้หรืออาจจะดีกว่าเล็กน้อย ก็เป็นการคาดคะเน
ส่วนของไทยก็คล้ายๆกัน แต่ของเราจะมีปัญหาใหญ่เรื่องการส่งออกตลาดโลก สินค้าหลายๆตัวเริ่มแข่งขันไม่ได้เพราะค่าเงินบาทแข็งมาก ขณะที่ความต้องการสินค้าน้อยลง ยกเว้นสินค้าในประเภทยานยนต์ เพราะยานยนต์เป็นการส่งตามโควต้าของบริษัทใหญ่ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจส่งออกเป็นเรื่องของการใช้โควต้าไทยแทนโควต้าของต่างประเทศ นอกจากนั้น ของไทยมีประเด็นน่าสนใจเรื่องการท่องเที่ยว ทิศทางการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้และปีหน้าน่าจะยังดีอยู่โดยเฉพาะเรื่องการชำระเงิน แต่ตัวนี้ยังมีมุมกลับ คือทำให้ค่าเงินบาทแข็งไปด้วย อันนี้เป็นประเด็นที่ต้องดูต่อไป
ด้านโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ในแง่ตัวเลขยังพอไปได้อยู่ อาจโตประมาณ 4% คงไม่ต่ำกว่า 4% มากนัก แต่ถ้ารวมสาขาอื่นๆ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวกับส่งออกเราอาจจะโตได้แค่ 3.5% ก็เป็นปีที่ไม่ดีมากนัก 3.5% ถือว่าไม่ดีเพราะประชากรของเราก็โตด้วย ถ้าเทียบต่อหัวเรายังถือว่าโตน้อยเกินไป ปีนี้เป็นปีที่ลำบากกว่าปีที่แล้วสำหรับเศรษฐกิจไทย ยังไม่พูดถึงเรื่องการเมืองที่ยังมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพอยู่ ส่วนที่จะมากระทบการเมืองก็จะกระทบในเรื่องของเสถียรภาพที่มีผลในเรื่องของการลงทุนภาครัฐและเอกชน ภาครัฐอาจจะโตไม่ได้ดีเหมือนปีก่อนเพราะการจัดตั้งรัฐบาลอาจจะลุ่มๆดอนๆ มาตรการต่างๆอาจจะไม่ง่ายเหมือนปีก่อนๆ เพราะฉะนั้นโดยรวมเศรษฐกิจไทยก็อาจจะโต 3.5% ส่วนที่โตดีหน่อยก็เป็นเรื่องการบริโภคภายในประเทศ ส่วนที่ลงหนักก็เป็นเรื่องการส่งออก รองลงมาเป็นเรื่องการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ส่วนอัตราเงินเฟ้อก็ใกล้เคียงเดิมคือ เงินเฟ้อพื้นฐานก็ตกประมาณ 1% ใกล้เคียงกับปีก่อนๆ
- ผลกระทบจากค่าเงินบาทเป็นยังไง
ค่าเงินบาทคงกระทบระยะยาว การส่งออกของเราคงจะลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่การท่องเที่ยวของเราได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทไม่มากนัก เพราะความสนใจที่จะมาเที่ยวยังมีอยู่ แม้ว่าค่าท่องเที่ยวต่างๆคิดเป็นเงินบาทจะดูแพง แต่ยังมีจุดที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในแถบนี้ที่ผมคิดเองว่า ถ้าเศรษฐกิจโลกอ่อนกำลังลง รายได้จีนน้อยลง ประเทศพวกนี้อาจจะเริ่มท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ใกล้ขึ้น เที่ยวในแถบเกาหลี ญี่ปุ่น ไทย เพราะฉะนั้นท่องเที่ยวไทยไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมาก โดยคนจีนอาจจะลดการท่องเที่ยวในประเทศที่ไกล ตรงนี้ยังพอไปได้อยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูมากขึ้นนิดนึง
ที่ต้องเฝ้าระวังคือค่าเงินจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดด้วย ที่เพิ่งขึ้นไป 1 สลึง ซึ่งจะเป็นตัวที่ซ้ำเติมทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นไปอีก ดูแนวโน้มแล้วขณะนี้อัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับที่ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นอีก เพราะฉะนั้นก็หวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยทั้งปีในปีนี้ แต่ค่าเงินบาทยังแข็งอยู่ ซึ่งการแข็งก็มีปัญหา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าเงินต่างประเทศอ่อนมาก มีปัญหาตกใจและมีปัญหาเยอะแยะไปหมด ระหว่างนี้บางสกุลเริ่มดีขึ้นนิดนึงเพราะค่าเงินดอลลาร์เริ่มผ่อนลง ตรงนี้ช่วยได้บ้าง การที่ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านอ่อนมากทำให้นักลงทุนต่างประเทศมาถือพันธบัตรไทย อาจจะทิ้งหุ้น แต่ไม่ทิ้งพันธบัตร จึงทำให้ค่าเงินบาทยังแข็งอยู่ แต่เศรษฐกิจไทยอ่อนลง ตามหลักถ้าเศรษฐกิจอ่อนลงต้องดึงค่าเงินบาทให้อ่อนลงตามไปด้วย แต่ทีนี้ไม่ดึงให้บาทอ่อนลงไป ค่าเงินบาทเราจึงไม่เป็นไปตามพื้นฐานเศรษฐกิจเท่าที่ควร
ตรงนี้ต้องดูต่อไปว่าสถานการณ์จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทายได้ยากมาก ความแตกต่างระหว่างค่าเงินที่ควรจะเป็นกับค่าเงินที่เป็นตอนนี้มันต่างกันมากเพราะเศรษฐกิจชะลอลง เพราะความต้องการเงินบาทมันน้อยลงแต่ไม่ดึงลงไปเพราะมีปัจจัยอื่นมาทำให้ไม่ดึงลงไป ตรงนี้เป็นแก๊ปที่ห่าง และแก๊ปตรงนี้วันหนึ่งจะต้องลงมา อาจจะไม่ใช่ 3-6 เดือนข้างหน้านี้ แต่เราไม่สามารถจะดูได้หรือคาดคะเนได้ง่าย ทำไม่ได้ว่าจะเกิดสถานการณ์นั้นเมื่อไหร่ ตราบใดที่ห่างในระดับที่พอเหมาะปัญหาก็จะไม่มาก แต่ถ้าวิ่งห่างไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะเกิดความรู้สึกตกใจว่าจะมีปัญหา ค่าเงินก็จะพลิกผันตามทุนไหลออก ก็ต้องติดตาม อาจจะเป็นปีหน้า ถ้าเศรษฐกิจไทยยังแย่ไปถึงปีหน้า จะสะสมความรุนแรงของค่าเงินบาทที่ผิดปกติ แต่ถ้าปีหน้าเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้นใหม่ก็อาจจะไม่กระทบอะไร เพราะเงินตราต่างประเทศที่สะสมไว้ที่แบงก์ชาติยังสูงอยู่ ทุนสำรองยังเป็นตัวที่ดึงไว้อยู่ ถ้ามีแรงกดดันมาก จุดหนึ่งนักลงทุนอาจจะกลับมาดูก็อาจจะตกใจ ตอนนี้ยังไม่ตกใจเพราะมีปัจจัยอื่นให้ตกใจมากกว่า เช่นมีเรื่องอินเดียกับปากีสถาน
- รัฐบาลใหม่ ทีมเศรษฐกิจใหม่ที่จะมา มีความยากลำบากในการบริหารแค่ไหน
ก็ต้องลำบากด้วย หลังๆ คนที่มีความรู้ความสามารถมาอยู่ทีมเศรษฐกิจน้อยลง เพราะปัจจุบันส่วนใหญ่ดำเนินนโยบายต่างๆ ตามใบสั่งและตามความเห็นของสายการเมือง เพราะฉะนั้นการเน้นวินัยทางการคลัง หลักทฤษฎีหลักความเหมาะสมต่างๆ มันก็จะน้อย นโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่เพิ่งเป็น เป็นมาหลายปีแล้วว่ามันไม่ตรงไปตรงมา ไม่เป็นตามที่ควรจะเป็น ตรงนี้ทำให้นโยบายเศรษฐกิจของไทยที่ผ่านมารวมทั้งอนาคตจะช่วยเศรษฐกิจได้ไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการให้ความเห็นว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ การรับรู้ของประชาชนที่จะรู้ว่าจริงๆนโยบายเศรษฐกิจควรจะเดินไปยังไงก็ไม่มี การสร้างความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบว่าเศรษฐกิจที่เป็นมีปัญหาโครงงสร้างผิดปกติหรือไม่ แล้วนโยบายเศรษฐกิจควรจะไปแก้ความผิดปกติของเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้างตรงไหน ที่ผ่านมายังไม่มี ส่วนใหญ่จะเห็นว่าเอาเงินไปให้บำนาญเท่าไหร่ แจกคนจนเท่าไหร่ ทำโครงการรถไฟฟ้ากี่สาย แต่ไม่เห็นภาพที่ทำให้ประชาชนหรือนักลงทุนมั่นใจว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยอยู่ในระดับที่ดี