top of page
image.png

เปิดไม่สวย ยอดส่งออกม.ค. 62 ติดลบ...หลายชาติรอเจรจา FTA ไทย


Interview: คุณกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

เปิดไม่สวย...ยอดส่งออกไทย ม.ค. 62 ติดลบ 5.6% เหตุจากสงครามการค้าอเมริกา-จีน สำทับด้วยมาตรการ safeguard การขึ้นกำแพงภาษีของอเมริกา สินค้าส่งออกตัวธงของไทย ทั้งรถยนต์ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาการน่าเป็นห่วง แต่สินค้าพืชผลเกษตรและอาหารแปรรูปดีขึ้น ทั้งปริมาณส่งออกและราคา ส่วนการแข็งค่าของเงินบาท เป็นอีกผลกระทบทางลบต่อผู้ส่งออก แจงค่าบาทที่เอื้อต่อการส่งออกคือดอลลาร์ละ 33 บาท บวกลบ 0.5

 

- ไปคุยกับแบงก์ชาติเรื่องค่าเงินบาทแข็งเป็นอย่างไรบ้าง

เป็นหน้าที่บทบาทหนึ่งของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยว่าเราจะทำอย่างไร เมื่อวิเคราะห์ปัญหาที่กระทบการส่งออกเราก็เห็นว่าค่าเงินบาทก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ถ้าไม่แจ้งกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเงินบาทแข็งมีผลกระทบก็เหมือนกับเราละเลยหน้าที่ ที่จริงเงินบาทมีส่วนช่วยในการส่งออก ในเมื่อเราแข่งขันกับประเทศคู่แข่งและเพื่อนบ้านและค่าเงินอ่อนกว่าเราอยู่แล้ว

- ดูแนวโน้มแล้วส่งสัญญาณชัดไหมว่าพอสิ้นไตรมาส 1 เราจะไปขนาดไหน

ในส่วนของไตรมาส 1 สรท.เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน ตอนที่เราแถลงข่าวประจำเดือนเมื่อช่วงเดือนมกราคมก็มีผู้สื่อข่าวถามเหมือนกันว่าการส่งออกจะเป็นอย่างไรในเดือนมกราคม เราก็บอกว่าเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะภาพสงครามการค้าเริ่มชัดเจนมากขึ้น จนกระทั่งตัวเลขการส่งออกเดือนมกราคมติดลบ 5.6% เราก็รู้ว่าโอกาสที่จะโตคงไม่ง่าย แต่เราไม่คิดว่าจะลบเยอะขนาดนั้น พอวิเคราะห์กลับมาคงต้องดูด้วยว่าตลาดคู่ค้าของเราเศรษฐกิจเขาเป็นอย่างไร ตลาดหลักๆ คือประเทศจีน ก็เป็นกังวลมาก จีนส่งรายงานออกมาว่าการส่งออกของเขาเดือนมกราคมลบ 20% มีผลกระทบจากสงครามการค้า ก็กังวลว่าของไทยจะพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งไหม หรือต้องกระจายความเสี่ยงของเราออกไป

- ที่ผ่านมาในประเด็นสงครามการค้าจีนกับสหรัฐ ในช่วงนั้นมองว่ามีผลดีกับไทย แต่ถึงวันนี้เขากำลังพูดคุยกันได้สิ้นเดือนนี้ กลายเป็นการส่งออกไทยมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น เป็นภาพที่ย้อนแย้งไหม

คงไม่ใช่อย่างนั้น ภาพส่งออกเดือนมกราคมถ้าเปรียบเทียบย้อนหลังตั้งแต่ปี 2559 ลงไป เศรษฐกิจการส่งออกของไทยโตขึ้น ปีที่แล้วเราได้ประโยชน์จากราคาเกษตรที่สูงในช่วงครึ่งปีแรก ก็เป็นตัวช่วย พอวัตถุดิบมีปริมาณมากขึ้นราคาก็มีตกลงไปบ้าง แต่สิ่งที่เรามองสงครามการค้าคือ ในบางอุตสาหกรรมเราเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ของประเทศจีน ซึ่งเรานำเข้าส่วนประกอบมาผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อส่งไปตลาดสหรัฐ ทางเวิลด์แบงก์หรือไอเอ็มเอฟมีการเตือนมาตลอดว่าสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่ใช่ไทยอย่างเดียว ตอนนั้นที่เรายังคาดหวังว่าถ้าเราส่งเข้าจีนไม่ได้เรายังจะสามารถหาตลาดอื่นเพื่อทดแทน แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่งปรากฏว่าภาษีที่ขึ้นกับสินค้าจีนไม่ใช่เฉพาะสงครามการค้าจีนกับสหรัฐ สหรัฐยังใช้มาตรการ safeguard กับสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและยังมีเรื่องของเหล็กที่เป็นสินค้าพื้นฐานในการประกอบผลิตสินค้าในหลายๆตัว ตัวนี้ทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นถ้าขึ้นภาษีเต็มที่ 25% กลายเป็นว่าผู้บริโภคเริ่มกังวลว่าถ้าของแพงขึ้นก็ใช้เงินน้อยลง เก็บเงินมากขึ้น ตรงนี้จึงส่งผลกระทบเศรษฐกิจของไทยคือการส่งออกไทยไปจีนลดลงโดยปริยายจากสงครามการค้า ส่วนที่เพิ่มเติมที่เราส่งเข้าสหรัฐมีเพิ่มแต่ไม่มากพอไปหักลบกับประเทศอื่นที่ลดลง จึงเป็นผลกระทบต่อเนื่องมากกว่าที่สหรัฐขึ้นภาษี ทำให้ยุโรปและทุกที่มีปัญหาหมด

- มองว่าที่เลื่อนการขึ้นภาษีออกไปและจีนกับสหรัฐอเมริกากลับมาคุยกันในเดือนนี้ ในที่สุดแล้วจะมีการขึ้นภาษีแน่นอน

ยัง ประเทศจีนกับสหรัฐยังพูดไม่ได้ เพราะยังเลื่อนไปอีก 60 วัน เลื่อนเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม คงต้องรอดู เดิมทีมีแนวโน้มว่าคุยได้ดีขึ้น ตอนนี้เห็นบอกว่ามีประเด็นหัวเว่ยเข้ามาอีก เชื่อว่าระดับผู้นำคงไม่ปล่อยให้เป็นสงครามที่รุนแรงมากขึ้นเพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งคู่ แต่ทั้ง 2 ประเทศจะหาทางออกอย่างไร คงจะมีการประนีประนอม จริงๆจีนก็ยอมซื้อของสหรัฐมากขึ้นแล้ว ตัวเลขของจีนเรื่องการขาดดุลกับสหรัฐลดลง เป็นไปตามที่สหรัฐต้องการแต่ยังต้องเจรจาเพื่อหาทางออกที่ดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย

- ผ่านปี 2019 ไป 2 เดือน ดูแล้วภาคอุตสาหกรรมไหนที่ส่งออกไปแล้วมีปัญหาชัดเจน

ในส่วนของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ชัดเจน ที่ส่งไปประกอบโทรศัพท์มือถือส่วนหนึ่ง ซึ่งเห็นค่อนข้างชัด แต่ในกลุ่มเองหวังว่าปีนี้ไม่ติดลบทั้งปี อาจจะมีติดบวกอยู่บ้างแต่จะไม่บวกมากเหมือนปีที่แล้วที่ขึ้นมาถึง 10% ในกลุ่มรถยนต์มีความน่าเป็นห่วง ปีที่แล้วส่งออกเป็นบวกและเป็นสินค้าส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ปีนี้มีความกังวลเพราะยังรอสหรัฐพิจารณาเรื่องการใช้มาตรการ safeguard กับอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก ซึ่งเดิมทีมีการประกาศผลเดือนกุมภาพันธ์ตอนนี้เลื่อนไปเดือนพฤษภาคม

- แล้วสับปะรดกระป๋องเป็นอย่างไร

ตอนนี้ก็ดีขึ้น ราคาของพืชผลเกษตรก็ดีขึ้น ไม่ใช่สับปะรดอย่างเดียว ต้องบอกว่าดาวเด่นของอุตสาหกรรมส่งออกปีนี้ยังเป็นอาหาร เพราะในช่วงมกราคมการส่งออกในกลุ่มสินค้าอาหารสูงขึ้นเป็นบวก 5-6% ดีใจว่าปีนี้เราคงพยายามผลักดันพวกสินค้าอาหารเกษตรแปรรูปให้มากขึ้น แต่ปัจจัยลบของปีนี้คงเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ปีนี้เรากลัวเรื่องอากาศแล้งเหมือนกัน คงต้องพยายามดูว่าจะทำอย่างไรไม่ให้พืชผลเสียหาย สับปะรดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ตอนนี้ได้ผลผลิตดีพอสมควร ราคาเริ่มขยับขึ้น เกษตรกรน่าจะดีใจขึ้นราคาใกล้จะ 5 บาท ถ้าเกิดบาทอ่อนลงคงจะต้องดูเศรษฐกิจสหรัฐ ทุกสกุลเงินส่วนใหญ่จะเป็นคนละด้านกับเงินสกุลสหรัฐ ถ้าดอลลาร์อเมริกาแข็ง เงินบาทก็จะอ่อน ตอนนี้ก็รอดูเพราะตัวเลขอัตราว่างงานของสหรัฐในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ดีขึ้น จาก 4% ลดลงเหลือ 3.8% ตอนนี้ตัวแปรอยู่ที่สหรัฐ ถ้าเขาเจรจากับจีนได้ลงตัว สงครามการค้าจะไม่รุนแรง คือตอนนี้จีนคาดหวังว่าไม่น่าขึ้นภาษีถึง 25% ถ้าขึ้นอยู่แค่ 10% การบริหารจัดการเรียกว่าคล่องตัวขึ้น หายใจได้สบายขึ้น ทุกอย่างน่าจะกลับมาปกติ แพงขึ้นนิดหน่อย 10% แต่ตรงนั้นจะช่วยให้เงินบาทอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ตรงนั้นในเรื่องการส่งออกก็จะสบายใจขึ้น

- ระดับค่าเงินบาทตรงไหนที่ผู้ส่งออกสบายใจ ตรงไหนจะกังวลใจ

คงไม่ได้เป็นการชี้นำ แต่ตัวเลขที่เป็นมาตรฐานที่เราใช้ในการประเมินตัวเลขการเติบโตการส่งออก สรท.ใช้ที่ 33 บวกลบ 0.5 ซึ่งวันนี้เรียกว่าแข็งค่ากว่าที่เราประมาณการเอาไว้ ก็ขึ้นมาใกล้ๆกับที่เราใช้เป็นตัวคาดการณ์ เปรียบเทียบกับตอนนี้ที่ลงไปแตะ 30 ตอนนั้นเรายิ่งกังวลหนัก

- คาดว่าทั้งปีการส่งออกจะขนาดไหน

เรายังประมาณการตามเดิม คือบวก 5% ส่วนหนึ่งที่สรท.กับกระทรวงพาณิชย์ต้องมาคุยเรื่องนี้เพิ่มเติมมากขึ้น คงเป็นเรื่องการเปิดตลาดในต่างประเทศให้มากขึ้น และอยากฝากถึงผู้ประกอบการว่าควรป้องกันความเสี่ยงไว้ด้วย ต้องพยายามศึกษาแนวโน้มของค่าเงิน ให้ดีที่สุด คือเข้ามาร่วมกับสมาคม จะได้รับข้อมูลดีขึ้น

- ความจริงเป็นที่รู้กันว่าถ้าทำให้ค่าเงินบาทอ่อนจะช่วยสนับสนุนการส่งออก ทำไมแบงก์ชาติบริหารให้เงินบาทแข็งขึ้น เหตุผลจริงๆ คืออะไรที่ทำให้เงินบาทอ่อนไม่ได้

ต้องบอกว่าเราไม่ใช่เศรษฐกิจแบบเวียดนาม เวียดนามยังเป็นสังคมนิยม เป็นเศรษฐกิจปิด ซึ่งรัฐบาลสั่งเลยว่าต้องการให้ค่าเงินดองหรือญวนเปรียบเทียบกับดอลลาร์อยู่ที่เท่าไหร่ ถ้ารู้สึกว่าค่าเงินแข็งขึ้นทันทีก็ประกาศลดค่าเงิน แต่เศรษฐกิจไทยเราเป็น free market เป็นเศรษฐกิจที่ไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง การส่งออกที่ได้ดุลการค้ามาทุกเดือนและเงินจากการลงทุนที่ไหลเข้ามาก็เป็นตัวหนึ่งที่บอกว่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ตอนนี้เรารอโครงการ EEC ที่จะมีเงินลงทุนไหลเข้ามาอีกเรื่อยๆ ต้องบอกว่าเศรษฐกิจไทยมีเงินเกินดุลตลอดเวลา ตัวนี้เป็นการซัพพอร์ตให้เงินบาทมีเสถียรภาพ ทิศทางแข็งอ่อนต้องเปรียบเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ เราก็เปรียบเทียบกับสกุลดอลลาร์ คือถ้าดอลลาร์แข็งเราก็จะเห็นบาทค่อยๆ อ่อน ก็เป็นภาพรวมเศรษฐกิจซึ่งก็เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์เราคงเข้าไปฝืนทั้งหมดไม่ได้ ถามว่ายังพอมีมาตรการในบางช่วงช่วยพยุงบาทไม่ให้แข็งหรืออ่อนเกินไป เชื่อว่าแบงก์ชาติมีทำอยู่แล้ว เราคงแค่รายงานความกังวลเพื่อให้แบงก์ชาติคอยดูแลเงินบาทให้มีเสถียรภาพและไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่น

- ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการไทยที่ไปโวยแบงก์ชาติ แม้แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไปโวยเฟดเหมือนกัน

ใช่ เขายังบ่นเลยว่าดอลลาร์แข็ง บ่นว่าเงินบาทแข็ง เราไม่รู้ว่าเราจะยืนอยู่ตรงกลางไหน

- บรรยากาศเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ ในภาคเอกชนมองสถานการณ์นี้อย่างไร คิดว่าหลังเลือกตั้งการส่งออกจะมากขึ้นไหม

การเลือกตั้งรู้สึกจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเลือกตั้งไม่แน่ใจว่าเป็นนโยบายของทางพรรคหรือรัฐบาลที่จะขึ้นค่าแรง ภาพหนึ่งก็ดี แต่ภาพหนึ่งคงต้องดูการขึ้นอย่างเหมาะสมเหมือนกันเพราะในบางพื้นที่ขึ้นเยอะมาก ในส่วนใกล้เคียงกับ EEC ขึ้นเยอะมาก ถามว่ามีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นขนาดนั้นเพื่อกระทบต่ออุตสาหกรรมหรือไม่ เพราะอัตราเงินเฟ้อของประเทศไม่ได้สูง แต่บางพื้นที่ขึ้นไปถึง 3-5% แล้วในหลายพื้นที่ยังมีเรื่องของเกษตรและเกษตรแปรรูปอยู่ด้วย การขึ้นค่าแรงเพื่อหวังผลให้สนองตอบ EEC ที่จะมาลงทุนใหญ่ แต่ไปกระทบอุตสาหกรรมอื่นๆ คืออุตสาหกรรมส่งออก

ไม่รู้ว่าตอนนี้พูดไปแล้วจะชะลอได้ไหม ซึ่งสภาอุตสาหกรรมหรือหอการค้าไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง พอเราพูดถึงเรื่องการเลือกตั้งเราอยากเห็นความต่อเนื่องของนโยบายเหมือนกัน เรื่องนโยบาย EEC เราเห็นด้วยในเรื่องการลงทุน การขยายท่าเรือ ขยายในเรื่องรางรถไฟให้เป็นในเรื่องของมัลติโหมดในการส่งออก การเชื่อมโยงรถไฟรางและท่าเรือเรายังเห็นด้วยในฐานะผู้ส่งออก เพราะทุกวันนี้มีความแออัดเยอะมาก มันคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เราอยากเห็นในส่วนขยายช่วยในการส่งออกเพื่อให้ต้นทุนลดลงของผู้ประกอบการ

ที่สำคัญเราอยากเห็นมีการเลือกตั้ง ไม่อยากเห็นว่ามีปัญหาถ้ามีการเลื่อนออกไป เพราะส่วนหนึ่งเราจะเริ่มเสียสิทธิ์เรื่อง GSP กับประเทศผู้นำเข้า เราเสียมาแล้วกับสหภาพยุโรป เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา มีรายได้ประชากรต่อหัวสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้ทางอียูไม่เจรจาเรื่อง FTA ถ้าเสียสิทธิ์ GSP เราต้องมี FTA เข้ามาช่วยสนับสนุนการส่งออก ถ้าเราไม่มีการเลือกตั้ง เราไม่ได้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง หลายๆประเทศไม่คุยเรื่อง FTA กับเรา ตรงนั้นจะมีผลลบ โครงการไทยแลนด์ 4.0 ในเรื่องการลงทุนใหญ่ วันนี้เรามองในเรื่องของการทำแบบอาลีบาบาจะเข้ามา แล้วเราควรจะมีของไทยเองไหม โครงการพวกนี้เราพยายามคุยกันอยู่และต้องหาช่องทางการค้าใหม่ๆด้วย จริงๆสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฮ่องกงจะมีการเชื่อมโยงกันแล้ว แต่ไทยยังไม่มีอะไรเลย เราควรต้องมองตรงนี้ด้วย ซึ่งตรงนี้อยู่ในแผนของผู้ประกอบการ ซึ่งเรากำลังทำและได้เข้าไปหารือกับกระทรวงพาณิชย์ อยากจะเห็นโครงการใหญ่ที่สนับสนุนเรื่องการส่งออกไปอย่างต่อเนื่อง

- ไม่อย่างนั้นไทยจะแพ้สิงคโปร์ ฮ่องกง

ใช่ เขาเป็น Trading nation ได้ไงไม่รู้ เขาไม่มีสินค้า ซื้อขายได้อย่างเดียว และเขาก็โต ของเราต้องคิดใหม่ทำใหม่แล้ว

 
bottom of page