
Interview: รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
เป้าเศรษฐกิจไทยโต 4% เป็นโจทย์ยากสุดหิน เหตุส่งออกถูกกระทบจากสงครามการค้าอเมริกา-จีน ส่วนเศรษฐกิจในประเทศติดกับดักเลือกตั้งที่การตั้งรัฐบาลใหม่ยืดยาดล่าช้า ทำให้เกิดสุญญากาศทางเศรษฐกิจ นักลงทุนต่างชาติ-ภาคเอกชนไทยต่าง wait and see คนไทยต้องทนรับสภาพกับดักเศรษฐกิจไปอีกอย่างน้อย 4-6 เดือน จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ และลุ้นกันไปอีกยาวๆ ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจไทยขณะนี้ต้องใช้ยากระตุ้นอย่างไร
ต้องย้อนกลับไปว่า เศรษฐกิจไทยโดยพื้นฐานเราจะพึ่งพาต่างประเทศค่อนข้างเยอะ โดยที่เศรษฐกิจไทยทุกวันนี้จะพึ่งพาในประเทศเพียง 28% และพึ่งพาต่างประเทศถึง 72% ดังนั้น การส่งออกจึงเป็นตัวแปรสำคัญ ทีนี้ภาคการส่งออก ถ้าเราแบ่งออกเป็น 100% เราจะค้าขายกับอาเซียน 1 ใน 4 ประมาณ 26% ขณะที่จีนเราค้าขาย 12% สหรัฐอเมริกา 11% ยุโรป 11% ญี่ปุ่น 10% และประเทศอื่นๆ อีกประมาณ 30% ดังนั้น จะเห็นว่าเราเกี่ยวข้องกับต่างประเทศค่อนข้างเยอะ และถ้าเศรษฐกิจโลกกระทบ เราก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ที่ผ่านมาจะมีประเด็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ตรงนี้ก็จะมีผลกระทบแล้ว
เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าอันดับหนึ่งของโลกในรูปมูลค่า จีนเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งในรูปมูลค่า ขณะที่จีนกำลังซื้อเริ่มมากขึ้น และเป็นผู้นำเข้าอันดับสองของโลก เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าเมื่อประเทศอันดับต้นๆ มีปัญหากันทางการค้า ก็เลยกระทบกับเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ที่มีปัญหากัน ซึ่งสหรัฐอเมริกากับจีนบวกกันคิดสัดส่วนเศรษฐกิจเท่ากับ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก เพราะฉะนั้นเมื่อสองประเทศนี้มีปัญหาทางการค้ากัน ก็กระทบกับกำลังซื้อของทั้งสองประเทศในที่สุด และก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศอื่นด้วย อย่างไทยเราค้าขายกับจีน 12% ของการค้าทั้งหมดของเรา เราค้าขายกับสหรัฐอเมริกาประมาณ 11%
ล่าสุดสหรัฐอเมริกาก็มีประเด็นกับยุโรปอีก จะตอบโต้ยุโรปเรื่องการค้าอีก ก็เป็นนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ว่าอเมริกันต้องมาก่อน เราเองก็ค้าขายกับยุโรปอีกประมาณ 11% ฉะนั้น จะเห็นว่ามันโยง และประเทศเหล่านี้ก็ส่งผลต่อประเทศอื่นๆ ต่อๆ กันไปอีก ตรงนี้ก็เลยกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งตัวเลขของไอเอ็มเอฟเอง ธนาคารโลก ก็เริ่มมีการปรับตัวเลข ถ้าสงครามการค้ายืดเยื้อ ก็น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก เพราะการค้ามันจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดธุรกรรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้นพอเขาปรับตัวเลขลง มันก็เลยมีผลกับเราไปด้วยในตัว
เฉพาะของไทยเมื่อถูกกระทบจากสงครามการค้า จะต้องรับมืออย่างไร
ประเทศไทยพึ่งพาต่างประเทศค่อนข้างเยอะ ตัวเลขง่ายๆ ก็คือถ้าเราสามารถเพิ่มการส่งออกได้อัตรา 4% ต่อปี มันจะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจของไทยเรา 1% ถ้าเราอยากให้การส่งออกช่วยเราในเชิงเศรษฐกิจ เราต้องกระตุ้นการส่งออก ถ้าเราสามารถส่งออกได้ประมาณ 8% มันจะช่วยให้เกิดการผลิต การจ้างงาน และสุดท้ายจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้น 2% เพราะฉะนั้นปีนี้เลยมีประเด็นว่า ถ้าสงครามการค้ายังยืดเยื้อ และขยายผลไปยังยุโรปด้วย ตัวเลขก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าเราจะทำตัวเลขการส่งออกได้บวกถึง 4% หรือไม่ ถ้าโชคดีได้ 8% ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ 8% แล้ว 4% พอไหวไหม ถ้า 4% ได้ยังพอช่วยเศรษฐกิจในประเทศโต 1% เพราะฉะนั้นที่เราตั้งตัวเลขเป้าหมายเศรษฐกิจในปี 2562 ว่าจะขยายตัวถึง 4% นั้น ถ้าต่างประเทศช่วยได้สัก 1% ที่เหลือในประเทศจะพอไหวไหมสัก 3% ซึ่งถ้าดูตามนี้ตัวช่วยจากต่างประเทศอาจจะเหนื่อยหน่อย ดังนั้นตัวเลขต่างประเทศ 4% อาจจะต้องใช้กำลังพอสมควรในการปรับกลยุทธ์ แล้วในประเทศเราพอจะขับเคลื่อนได้ไหม ให้ได้อีก 3% เพื่อให้ตัวเลขออกมา 1+3 เป็น 4% ของปีนี้ ก็เลยเป็นที่มาว่าในประเทศสงสัยจะต้องมีอะไรมาช่วยแล้ว
เหตุผลก็คือว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ก็เป็นช่วงของการเลือกตั้ง ซึ่งระหว่างการเลือกตั้งการจะดำเนินนโยบายอะไรใหม่ๆ ก็จะลำบาก มีข้อจำกัดเยอะ แล้วก็ต้องรอนโยบายความชัดเจน ฉะนั้นการที่มีการเลือกตั้ง และยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ มันก็คล้ายๆ เป็นสุญญากาศของเศรษฐกิจว่าถ้าจะขับเคลื่อนอะไรต่างๆ แล้วใครจะเป็นคนขับเคลื่อน หรือจะรอคนใหม่มา ตรงนี้มันเป็นเรื่องของกฎหมายเรื่องของกติกาอีก เพราะฉะนั้นการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่ง ถ้าเราจัดตั้งได้เร็วขึ้น ก็จะช่วยให้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น เพราะรัฐบาลทุกฝ่ายที่เข้ามาก็คงจะมีนโยบายใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งในเชิงหลักจิตวิทยามันช่วยอยู่แล้ว ก็กว่าจะลงตัวคงแถวๆ เดือนมิถุนายน พูดง่ายๆ คือ 6 เดือนแรกของปีนี้ก็อาจจะเป็นข้อจำกัดหน่อย ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ งบของภาครัฐอาจจะมีข้อจำกัด
ภาคเอกชนต้องขับเคลื่อนอย่างไร
สำหรับเอกชนเอง เขาก็อยากจะดูความชัดเจนเหมือนกัน ฉะนั้นเขาก็รอรัฐบาลชุดใหม่ ตรงนี้เลยเป็นเงื่อนไขสำคัญ ทีนี้ถ้ารัฐบาลใหม่มาได้ในช่วงเดือนมิถุนายน คำถามคือนโยบายจะออกมาเมื่อไหร่ แล้วจะใช้เงินได้เมื่อไหร่ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดของปีนี้ ก็คือว่า งบประมาณของปี 2562 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 จะสิ้นสุด 30 กันยายนปีนี้ สุดท้ายเม็ดเงินกว่าจะใช้ได้จริงๆ จะไปกองเอาในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2562 ก็คือกรกฎาคม-กันยายนแถวนั้น ซึ่งตรงนี้อาจทำให้เม็ดเงินอาจจะลงได้ไม่เต็มที่ ตรงนี้เป็นข้อจำกัดอันหนึ่งต่อเศรษฐกิจปีนี้ การที่จะคาดหวังตัวเลขว่าจะเติบโตถึง 4% คงจะยาก ยกเว้นมีปัจจัยอื่นมาเสริม แล้วต้องดูว่าปัจจัยเสริมเอื้อได้แค่ไหนอีก ตรงนี้จะให้เอกชนลงทุน เอกชนบอกขอความชัดเจน จะให้ต่างชาติมาลงทุน พยายามขับเคลื่อนเออีซี ซึ่งน่าสนใจ แต่ต่างชาติก็บอกอยากดูนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ก่อน
มองว่าไตรมาสที่สองนี้ก็จะหนักหน่อย ยกเว้นไตรมาสสามถ้าเรามีรัฐบาลได้เร็ว ก็จะมีเงินอัดฉีดเข้ามา และไตรมาสสี่ก็จะมีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามา ดังนั้น ทางที่จะแก้ปัญหาได้ คือต้องมีความชัดเจน และมีการจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างชัดเจน ตรงนี้ก็จะช่วยได้ชัดเจนมากกว่า แต่ในระยะสั้น คงจะเสริมด้วยกลไกบางอย่าง ซึ่งรัฐบาลมีเครื่องมืออยู่บ้าง อย่างเช่นสถาบันการเงินที่รัฐบาล กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น ก็คือธนาคารเฉพาะกิจทั้งหลายไม่ว่าเอสเอ็มอีแบงก์ เอ็กซิมแบงก์ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเหล่านี้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล ใช้กรอบของแบงก์ชาติกำหนดกฎเกณฑ์ ตรงนี้อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่พอจะช่วยได้อีกแรงหนึ่ง เพื่อขับเคลื่อนกำลังซื้อ เสริมสร้างกิจกรรมในประเทศ
การที่รัฐบาลประกาศอัดฉีด 2 หมื่นล้านบาท ก็น่าจะพอช่วยได้
ก็เป็นห่วงว่าจะได้ผลแค่ไหน เพราะเรื่องเม็ดเงินภาษี มันก็จะโยงไปถึงว่า ถ้าลดหย่อนแล้วมันจะไปกระทบต่อรายได้จากภาษีด้วยไหม ซึ่งเราช่วยจริงแต่มันจะไปกระทบต่อรายได้การจัดเก็บภาษีหรือไม่ ซึ่งบวกกับลบ ระยะสั้นระยะยาว ตรงนี้ต้องคิดรูปแบบที่ออกมาเป็นระบบมากกว่านี้หน่อยจะดีไหม คือส่วนตัวว่าถ้าเราคิดเป็นแผน ตอนนี้ก็คือเกิดปัญหาขึ้นเราก็เติมเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วต้องมองภาพใหญ่กว่านี้ ตัวเลขเศรษฐกิจเราพอมองภาพออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่บังเอิญเป็นช่วงรอยต่อรัฐบาล การจะทำอะไรมากๆ จะใช้กรอบไหนมาทำ จะใช้เครื่องมืออะไร มันเป็นเงื่อนหลายๆ อย่างที่มาเกี่ยวข้องอยู่ และเดี๋ยวจะมีประเด็นเกิดขึ้นอีก
ตรงนี้ก็ต้องยอมรับสภาพว่าเราจะต้องหาทางปรับตัวด้วยวิธีอื่นไหม ก็คือเร่งกลไกอื่นๆ ให้เดินหน้าแล้วก็มีความชัดเจนในที่สุด แต่เรื่องของการเลือกตั้งมองว่าอันนั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าทุกอย่างชัดเจน มีรัฐบาลแล้ว มองว่าเม็ดเงินจากต่างประเทศมาแน่นอน เพราะเรามีความพร้อมหลายอย่าง เราเป็นศูนย์กลางของอาเซียน เพราะฉะนั้นต่างชาติมาแน่นอน เราก็จะได้เม็ดเงินจากต่างชาติช่วย
ขณะเดียวกัน ภายในประเทศเอง เอกชนเขาก็รอดูอยู่ เพราะช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ เขาก็อั้นอยู่รออยู่ ดังนั้น ถ้าทุกอย่างชัดเจน เขาก็หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ คงจะมีอะไรใหม่ๆ ก็จะเป็นสีสัน มองว่าด้วยแรงของนโยบายต่างๆ ใหม่ๆ มันจะช่วยขับเคลื่อนได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็ต้องยอมรับสภาพนิดหน่อย
ส่วนตัวสบายใจหรือไม่สบายใจเรื่องเศรษฐกิจไทย
คือต้องยอมรับสภาพตอนนี้ เนื่องจากมันมีเรื่องของการเลือกตั้ง มันมีข้อจำกัดด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ถ้าจะว่าไปแล้ว ต่างชาติก็พอจะเข้าใจ ดังนั้นเราก็ต้องยอมรับตรงนี้ เราคิดเครื่องมือเพื่อจะไปขับเคลื่อนช่วงที่เหลือ เพียงแต่ว่าเราจะตอบโจทย์เป้าหมายเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ซึ่งหลักๆ จะมี 3 เป้าหมายก็คือ ให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ อยู่ดีกินดี แล้วก็มีความสุข สินค้าอย่าแพง แล้วก็ให้มันกระจายทั่วถึง ทุกภาคส่วนของประเทศได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐ