top of page
image.png

ศึกมะกัน VS จีนจบยาก ไทยต้องเลือกผลประโยชน์ไทย


Interview: ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญด้านอาเซียนศึกษา

และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทวิภาคี G20 สหรัฐอเมริกา-จีน พูดไปสองไพเบี้ย ยังคงพายเรือวนในอ่าง ต่างฝ่ายตั้งข้อเรียกร้องเดิมๆ เหมือนปีก่อนที่คาราคาซังยังแก้ไขไม่ได้ ความขัดแย้งสองยักษ์ใหญ่ยากที่จะจบ เพราะมีเดิมพันสูงคือการแย่งชิงความเป็นเบอร์ 1 ผู้นำโลก คาดความวุ่นวายนี้ยังอยู่ต่ออีก 5 ปี ถ้าทรัมป์ได้เป็นปธน.อีกสมัย แนะไทยต้องอยู่ให้เป็น คบค้ากับทั้งสองฝ่ายโดยยึดรักษาผลประโยชน์ของไทยเป็นหลัก ภาคเอกชน..นาทีนี้ต้องยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ปรับตัวรับมือความซับซ้อนทั้งจากการเมืองในประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

มองผลการประชุม G20 ที่โอซาก้าที่ผ่านมาอย่างไร

การประชุม G20 ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกครั้ง เป็นการประชุมของผู้นำประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มาเจอกัน เรื่องที่เขาคุยกันก็จะเป็นเรื่องกระแสของโลก อย่างคราวนี้คือ Ensure global sustainable development ก็คือทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนมันเกิดขึ้นได้ มีการประชุมแบ่งออกมาเป็น 8 ข้อย่อย แต่จริงๆแล้ว สิ่งที่ทุกคนจับตามอง G20 มากกว่าการแค่มาเจอกันของผู้นำเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศก็คือการประชุมที่เราเรียกว่าการประชุมทวิภาคี ที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจ ผู้นำของประเทศที่มีประเด็นเลือกที่จะคุยกัน อาจจะเป็นระหว่างรับประทานอาหารเช้า กลางวัน หรือแยกเปิดห้องประชุมต่างหาก ซึ่งแน่นอนเราก็ต้องจับตาดูคนที่เป็นบุคคลสำคัญและคาดเดาไม่ได้ที่สุดของโลกนั่นก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเขามีการประชุมระดับทวิภาคี 3 ครั้งตลอดเวลาที่อยู่โอซาก้า คือการประชุมกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าน่าจะคุยเรื่องอิหร่าน การประชุมกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและตุรกี ซึ่งก็คาดเดาว่าน่าจะคุยเรื่องของรัสเซีย และการประชุมที่ทุกคนจับตามองมากที่สุดนั่นก็คือการประชุมกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่โดนัลด์ ทรัมป์ พบกับ สี จิ้น ผิง

สุดท้ายหลังประชุม ดูอย่างไร

ต้องดูก่อนว่าใครอยากได้อะไรกันบ้าง...จีนอยากได้ 3 อย่าง คือ

1.อยากให้สหรัฐอเมริกายกเลิกมาตรการสงครามการค้า ยกเลิกการจัดเก็บภาษีตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2018 และอีกระลอกหนึ่งคือช่วงเดือนมีนาคม เมษายนที่เป็นระลอกหลังสุด

2. คือเรื่องคว่ำบาตรเทคโนโลยี ที่บริษัทเทคโนโลยีหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็นหัวเว่ยและอีกหลายบริษัท ถูกรัฐบาลอเมริกันห้ามซื้อขายทั้งฮาร์ตแวร์และก็ซอฟต์แวร์ด้วย

3. จีนต้องการเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาปฏิบัติตามข้อตกลงในระดับพหุพาคี แล้วแน่นอนสิ่งที่พูดถึงคือกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ควบคุมในเรื่องการค้าและการลงทุนทั่วโลก อย่าลืมว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2018 เป็นต้นมา นโยบายทางการค้าที่สหรัฐอเมริกาใช้ทุกข้อมันออกนอกระเบียบ ออกนอกกฎเกณฑ์ที่ WTO วางไว้ทั้งสิ้น

นี่คือ 3 เรื่องที่จีนอยากได้

ขณะที่สหรัฐอเมริกาเองที่อยากได้จากจีนมี 3 ด้านเช่นกัน 1. คือให้จีนแก้กฎหมายเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา และไม่ใช่แก้อย่างเดียว ต้องมีข้อปฏิบัติที่ชัดเจนด้วยว่า เวลาบังคับใช้จะบังคับใช้อย่างไร ซึ่งตรงนี้ทางสหรัฐอเมริกาก็ใช้เป็นประเด็นตลอดเวลา โดยเฉพาะนโยบายที่จีนเรียกว่า “เมดอินไชน่า 2025” ที่สหรัฐอเมริกามองว่าไม่เป็นธรรมในการไปบังคับให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี

2. คือต้องการให้จีนเปิดตลาดโดยเฉพาะภาคบริการในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่มาก และบอกว่าไม่ใช่แค่เปิดตลาดเท่านั้น แต่ต้องมีข้อปฏิบัติที่เป็นธรรมกับฝ่ายสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะสหรัฐอเมริกามองว่ามีการแข่งขันกับจีน เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพราะเป็นการแข่งขันที่กลายเป็นเอกชนของสหรัฐอเมริกาต้องไปแข่งขันกับบริษัทของจีนซึ่งมีรัฐบาลหนุนหลัง

3. สหรัฐอเมริกาเป็นกังวลว่าการพัฒนาของจีนเพื่อไปสู่ไชน่าดรีม มันมีปัจจัยที่สหรัฐอเมริกาเป็นกังวลเรื่องความมั่นคง เพราะเทคโนโลยีที่จีนต้องการจะพัฒนา มันเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเอาไปใช้ในกิจการด้านความมั่นคงได้ทั้งสิ้น

คิดว่าทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่จะได้ทั้ง 3 ข้อที่ต้องการหรือไม่

สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรที่แตกต่างจากการเจรจาระหว่าง 2 คนนี้เมื่อการประชุม G20 ปีที่แล้วที่อาเจนติน่า นั่นก็คือเรื่องอะไรที่ทำไว้แล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2018 ก็ยังคงทำต่อไป ส่วนเรื่องใหม่ก็ขอหยุดไว้ก่อน แล้วตั้งคณะเจรจา แล้วก็หวังว่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นในอนาคต แล้วก็แยกย้าย

ก็เท่ากับว่าปัญหายังไม่ได้แก้ไข เพียงแต่มาตรการที่มันรุนแรงอย่างเช่น เรื่องของการขึ้นภาษีระลอกหลังซึ่งมันกระทบกับผู้บริโภคโดยตรง แล้วก็เรื่องของสงครามเทคโนโลยีที่กระทบกระเทือนต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตโดยตรง ก็ได้รับการชะลอไปก่อน

สุดท้ายคือยังไม่จบง่ายๆ

ถูกต้อง เรื่องนี้อย่างไรก็จะไม่จบง่ายๆ เพราะสหรัฐอเมริกาซึ่งขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ต้องพยายามรักษาสถานะนี้ไว้ ในขณะที่จีนเองเคยเป็นเบอร์หนึ่งของโลกมาตลอดเมื่อหลายพันปีที่แล้ว จนมาเสียแชมป์จริงๆ ประมาณช่วงครึ่งหลังของราวๆ ปี1845 หรือ 1846 ตอนนั้นจีนเริ่มเสียความเป็นแชมป์เบอร์หนึ่งของโลก เท่ากับจีนเสียแชมป์ไปประมาณ 200 ปี จีนก็ต้องการกลับมาทวงแชมป์ด้วย เพราะฉะนั้นต่างคนก็ต่างอยู่ในเส้นทาง ซึ่งต่างก็หนีไม่พ้นในการจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง และจะมีบทบาทในการควบคุมยุทธศาสตร์แล้วก็กฎระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆของโลก

คนไทยต้องเตรียมรับมืออย่างไร

อย่างแรกสุดเลยเราก็คงต้องไปดูโอกาสว่าในช่วงที่สินค้าสหรัฐอเมริกาเข้าจีนไม่ได้ จะมีสินค้าใดที่เราจะทำตลาดจีนได้ ขณะในห้วงเวลาที่สินค้าจีนเข้าสหรัฐอเมริกาไม่ได้ สินค้าอะไรที่เราจะนำเข้าสหรัฐอเมริกาได้ ก็คงต้องพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต รูปแบบการโลจิสติกส์สินค้า

อีกเรื่องที่ต้องดูคือผู้ประกอบการทั่วโลกระส่ำแล้วกับนโยบายพวกนี้ เพราะฉะนั้นมันจะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิต ย้ายฐานการลงทุน ประเทศไทยเราก็ต้องพยายามสร้างอีโคซิสเต็ม เพื่อให้การลงทุนเข้ามาประเทศไทย และขณะเดียวกัน เมื่อการลงทุนเหล่านั้นเข้ามา ผู้ประกอบการของไทยก็ต้องเข้าไปดูว่าเราสามารถที่จะเข้าไปอยู่ตรงไหนในส่วนซัพพลาย เชนตรงนี้ได้ แล้วก็ต้องพยายามผลิตในสิ่งที่สามารถเข้าไปบูรณาการกับซัพพลาย เชนเหล่านี้ได้

ไทยจะเลือกข้างใดก็ไม่ได้

ในความเป็นจริงต้องเลือกข้างตัวเอง เพราะทุกประเทศเวลาทำนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งหมด ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ซึ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะมีหลายมิติมาก เพราะฉะนั้นบางมิติคุณก็อาจต้องเข้าข้างสหรัฐอเมริกา อีกมิตินึงก็ต้องเข้าข้างจีน บางมิติคุณก็ต้องเข้าข้างไทยและอาเซียน เพื่อทั้งหมดก็คือเข้าข้างผลประโยชน์ของไทย

ไทยเองถ้าเป็นเสือก็เหมือนในสภาพเสือติดจั่น ทำอะไรมากกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนไม่ได้

ส่วนหนึ่งก็เป็นแบบนั้น เพราะกลไกการทำงานอยู่ที่คนที่ดูและตัดสินนโยบาย ก็จะเป็นระดับรัฐมนตรี ซึ่งประเทศไทยเราช่วงตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งที่มีรัฐมนตรีจำนวนมากลาออก ส่วนหนึ่งก็มารณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งก็ไปเป็น ส.ว. ตรงนี้มันทำให้คณะรัฐมนตรีไม่สามารถที่จะอยู่กันครบ การบริหารจัดการต่างๆ ก็จะดูแลได้ไม่ทั่วถึง

ล่าสุดเวียดนามไปเซ็นสัญญาการค้าเสรีกับอียู...น่าห่วงหรือไม่

มีผลกระทบแน่นอน เพราะสินค้าที่เวียดนามเคยส่งไปยุโรปแล้วมีกำแพงภาษีก็คงจะลดลงมามาก ทำให้เวียดนามมีแต้มต่อในการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดยุโรป

ขณะที่ไทยคุยกันกับอียูแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

ถูกต้อง แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าจริงๆแล้วเวลาเราพูดถึง FTA มันมีผลกระทบกระเทือนในหลายมิติ และมีผลกระทบกระเทือนในหลายภาคของผู้ประกอบการ เพราะฉะนั้นบางทีก็ต้องชั่งตวงวัดให้ดีว่าผลได้กับผลเสียมันคุ้มกันหรือไม่ แล้วผลได้นั้นมันมีข้อตกลง มันมีข้อเรียกร้อง มันมีมาตรฐาน มันมีข้อตกลงยอมรับร่วมอีกจำนวนมากที่จะต้องเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการด้วย ดังนั้นบางทีเทียบกันแล้วนั้น การที่จะต้องไปอัพเกรดมาตรฐาน การพัฒนาอีกหลายเรื่อง เพียงเพื่อจะได้ลดภาษีเป็น 0% นั้น ผู้ประกอบการบางคนก็บอกว่าไม่คุ้มที่จะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าแบบนั้น

นอกจากนั้นเวียดนามยังอยู่ในวงข้อตกลง TPP อยู่ด้วย แบบนี้ไทยจะทำอย่างไรได้

ใช่ ซึ่งถามว่าเราจะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่าเรื่องที่เราจะต้องพยายามผลักกันให้มากที่สุดก็คือภายในปีนี้เราต้องยืนยันที่จะต้องลงนามข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นก็คือ RCEP หรืออาเซียน +6ให้ได้

ตอนนี้ไทยเป็นหัวเรือใหญ่ของอาเซียน ก็พยายามผลักดันเรื่องนี้อยู่

ใช่ เราก็คาดหวังว่าเราจะสามารถทำได้ เพราะเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีบริหารจัดการในเรื่องของการเจรจาการค้า RCEP ใหม่ในหลายๆมิติ ยกตัวอย่างเช่น จากเดิมมีประชุมรัฐมนตรี RCEP แค่ปีละ 1 ครั้ง พอเราเริ่มต้นเป็นประธานอาเซียน เราได้จัดประชุม RCEP ตอนเดือนมีนาคมปีนี้ แล้วก็บอกต่อเลยว่าปีนี้ขอประชุมรัฐมนตรี 4 ครั้งเลยได้มั้ย เพื่อที่จะกำหนดนโยบายได้อย่างชัดเจน

ในขณะที่การประชุมระดับซีเนียร์ออฟฟิศเซอร์ เรามีการประชุมทุกเดือนเลยตอนนี้ นอกจากประชุมทุกเดือน เราก็มีเวิร์กแพลนชัดเจนว่าการประชุมแต่ละครั้งจะเป็นการเจรจาเรื่องอะไร ประสบผลสำเร็จเรื่องอะไรบ้าง

เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อทีมเจรจาได้มาเจอกันทุกเดือนแบบนี้ ก็น่าจะทำให้เกิดความสนิทสนม และในอาเซียนเองถ้ามีความสนิทสนมกลมเกลียวกัน ความเป็นเพื่อนกันก็จะมีผลที่จะผลักดันเรื่องสำคัญๆ เหมือนที่เป็นมาหลายครั้งแล้ว

ให้อาจารย์ฟันธงเรื่องการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนหน่อยว่าจะลงเอยอย่างไร

เรื่องสงครามการค้า ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ก็จะเป็นประธานาธิบดี แต่ได้มากที่สุดก็สมัยหน้าอีกแค่สมัยเดียว ดังนั้น ถ้าดูคนที่เตรียมความพร้อมเมื่อทรัมป์ยังอยู่อีกสมัยนึง และหลังจากนั้นการเปลี่ยนแปลงก็คงจะเกิดขึ้น ดังนั้น คนที่มีความพร้อมและอ่านเกมพวกนี้ขาดมากจริงๆก็คือญี่ปุ่น นั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมญี่ปุ่นจึงเป็นตัวตั้งตัวตีมากๆ ในเรื่องของการทำกฎกติกาที่เรียกว่าข้อตกลงการค้าเสรี CPTPP เพื่อรอไว้ว่าพอวันหนึ่งสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนนโยบาย สหรัฐอเมริกาก็ต้องกลับเข้าสู่กฎกติกาการค้าที่เป็นเสรีใหม่ เพราะฉะนั้นญี่ปุ่นมองเกมแบบนี้ ทั่วโลกมองเกมอย่างนี้ เราก็รู้แล้วว่าช่วงเวลาที่เป็นสงครามการค้าที่ใช้วิธีการแบบนี้ แบบที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำแบบละเมิด WTO ทุกประเด็น คงจะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ที่สุดก็อีก 5 ปีต่อจากนี้เท่านั้น

แล้วเรื่องสงครามเทคโนโลยี

ก็คงจะเป็นเรื่องที่ต้องพูดต่อไป เพราะว่าเทคโนโลยีที่ทุกคนจับตามองในตอนนี้หลักๆ ก็คือ Artificial Intelligence ซึ่งถ้าจะพัฒนาเป็นปัญญาประดิษฐ์ได้ก็ต้องมี 3 ปัจจัย คือ

1. ต้องพูดถึงเรื่องการมีแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ และต้องเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วย ซึ่งคนที่มีแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่และเข้าถึงได้คือจีน ...จีนมีประชากร 1,400 ล้านคน และคอนเซปต์ในเรื่องไพรเวต พร็อพเพอร์ตี้ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ข้อมูลส่วนบุคคลถือว่าเป็นข้อมูลของสังคม เพราะฉะนั้นรัฐบาลจีน สามารถที่จะเอาข้อมูลและภาพถ่ายของคน 1,400 ล้านคนให้บริษัทเทคโอเวอร์ที่ต้องการทำเรื่อง Fracialrec communication ไปดำเนินการได้เลย ในขณะที่ประเทศทางตะวันตก ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลพวกนี้เป็นข้อมูลซึ่งเป็นของส่วนบุคคล ไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ดังนั้น เรื่องฐานข้อมูลขนาดใหญ่นี้ จีนกับอินเดียจึงมีแต้มต่อ

เรื่องที่สองคือการมีชิปคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วสูง เพราะฐานข้อมูลที่ใหญ่ก็ต้องการชิปคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และมีความเร็วสูงในการที่จะประมวลผล นาทีนี้เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกายังเป็นเบอร์หนึ่งของโลกอยู่ แต่ถ้าพูดถึงจำนวนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่จำนวนมากๆบนโลกนี้ ซูปเปอร์คอมพิวเตอร์จำนวนมากจะตั้งอยู่ประเทศจีน ดังนั้น คิดว่าข้อนี้สูสี

ข้อที่สามคุณต้องมี Algorithm หรือชุดคำสั่งที่ดีในการที่จะบอกให้คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงนั้นสามารถวิเคราะห์ฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นการที่จะมีชุดคำสั่งที่ดีได้ คุณก็จะต้องมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เยอะๆ มีนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เยอะๆ ซึ่งประเทศที่ผลิตนักวิศวกรนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีนและคนจีนโพ้นทะเล และคนอินเดีย คนอินเดียโพ้นทะเล เพราะฉะนั้นถ้ามองในแง่เทคโนโลยีศตวรรษที่ 21 ก็คงจะเป็นศตวรรษของเอเชีย

สุดท้ายไทยเราจะโดนลูกหลงหรือไม่

อ๋อ ไม่สุดท้ายครับ ไทยเราโดนลูกหลงไปเรียบร้อยแล้วครับ...ลองนึกภาพดู ตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา การส่งออกที่เราเคยโตต่อเนื่องมาเป็น 20 ไตรมาส มีการติดลบทันที ปีที่แล้วส่งออกติดลบ 0.1% ส่วนไตรมาสแรกของปีนี้ติดลบไป 4% และปัญหาก็คือเครื่องยนต์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจมันมี 4 เครื่องยนต์ก็จริง คือการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการใช้จ่ายจากภาครัฐ รวมถึงการส่งออก แต่ในกรณีของไทย เครื่องยนต์การส่งออกมันใหญ่มากถ้าเทียบอีก 3 เครื่องยนต์ และเครื่องยนต์นี้มันติดลบ ก็เลยทำให้เศรษฐกิจมันก็อลหม่านไปหมด

แบบนี้เราจะเอาตัวรอดอย่างไร

ก็ต้องกลับไปดู Core Business ของคุณว่าคืออะไร แล้วก็พยายามจะพัฒนา Core Business ของคุณให้มันดีที่สุด นาทีนี้คือนาทีที่ต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก เพราะรัฐบาลภายในประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลก มันมีความซับซ้อนมาก ฉะนั้นตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นาทีนี้ก็ต้องพัฒนา Core Business ให้ดี เรียนรู้ความต้องการของลูกค้า ว่าความต้องการจริงๆของลูกค้าคืออะไร และต้องปรับธุรกิจของตัวเองให้เข้ากับความต้องการจริงๆของลูกค้า

 
bottom of page