top of page
379208.jpg

จาก SAFE HAVEN เป็น GOLD RUSH


สงครามการค้าขยายผลวงกว้างยิ่งขึ้น ลามไปกระทบค่าเงินจนเกิดแนวรบอีกด้านเป็น Currency War โดยหยวนตีโต้หักโหมลดค่า 2 ครั้งรวด ตลาดหุ้น ตลาดเงินตรา บอนด์ระส่ำ นักลงทุนวิ่งหาที่กำบังจ้าละหวั่น ทุกคนหันหาทองคำยึดเอาเป็น save haven กลายเป็น Gold Rush กระทุ้งราคากระฉูด

นอกจากข่าว Trade War, Currency War หยวนอ่อนค่า เป็นข่าวหลักแล้ว ยังมีข่าวร้ายรายจรมาเสริมเติมความย่ำแย่ของสถานการณ์เข้าไปอีก อย่างข่าวชุมนุมยึดสนามบินฮ่องกง วิกฤตเปโซอาร์เจนตินาร่วงไม่มีหูรูด เงินเฟ้อทั่วโลกสูง ราคาน้ำมันดิบดิ่ง บิตคอยน์หวือหวา หนี้สาธารณะท่วมโลก ฯลฯ

ทองคำยามนี้จึงกลายเป็นโภคภัณฑ์ค้ำมูลค่าแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี มีแนวโน้มขาขึ้นไม่ยอมลง เกิด Gold Rush ที่คาดว่าจะครอบช่วงเวลานี้ไปจนถึงปีหน้าหรือกว่านั้น

ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุช่วงเวลาได้ว่า สงครามทั้งหลายจะสงบลงเมื่อใด ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังอาจจะเกิดวิกฤตการณ์ใหม่ๆเข้ามาเติมความบอบช้ำให้แก่เศรษฐกิจโดยรวมยิ่งขึ้น

ที่กังวลก็คือ วิกฤตการณ์ในตะวันออกกลางจากการแซงชั่นอิหร่านของสหรัฐและพันธมิตร ที่จะก่อให้เกิดการเผชิญหน้า ทั้งทางเศรษฐกิจและสงครามในแนวกันชน

การแซงชั่นอิหร่านและสงครามการค้ากับจีน ผลักจีนหันไปคบค้ากับชาติปรปักษ์ของสหรัฐเหนียวแน่นขึ้น โดยเฉพาะกับอิหร่านในด้านน้ำมัน

การปิดกั้นอิหร่านด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการค้าน้ำมันดิบ ทำให้อิหร่านขายตัดราคาน้ำมันดิบให้จีนอย่างไม่เกรงใจกลุ่มโอเปกที่กุมตลาดน้ำมันดิบโลก ยิ่งกว่านั้น ยังดำเนินการกร้าว ถึงขั้นโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำของสหรัฐในอ่าวโอมาน ตอบโต้มาตรการแซงชั่น

ราคาน้ำมันดิบในรอบ 52 สัปดาห์ขึ้นลงหวือหวาระหว่าง ต่ำสุด 42.36 กับ 76.90 ดอลลาร์/บาร์เรล ล่าสุดระดับ 54-60 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันดิบเป็นตัวชี้วัดอัตราเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ดีตัวหนึ่ง

ระดับราคาน้ำมันดิบชนิดเบาที่แสดงถึงอัตราเติบโตของเศรษฐกิจโลกเฟื่องฟูที่สุดคือ 116 ดอลลาร์/บาร์เรล แย่ที่สุดคือ 50 ดอลลาร์บาร์เรล

ตอนนี้ใกล้จุดต่ำสุดแล้ว แต่กูรูเศรษฐกิจโลกตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา มองว่ามันอาจจะลงไปต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ หรือถึง 20 ดอลลาร์ด้วยซ้ำภายในปีหน้า

ราคาน้ำมันดิบมักจะตรงกันข้ามกับราคาทองคำ กล่าวคือ เมื่อใดที่ราคาน้ำมันดิบดิ่งเหว เมื่อนั้นราคาทองคำจะสวนทางขึ้นมา

ทั้งๆ ที่ในยุคเฟื่องฟูของตลาดน้ำมัน น้ำมันดิบเคยได้ชื่อว่า Black Gold

ราคาทองคำสัปดาห์ที่แล้วเคลื่อนไหวระหว่าง 1,140 ดอลลาร์/เอานซ์ กับ 1,510 ดอลลาร์/เอานซ์

ส่วนตลาดกรุงเทพฯ อ้างถึง ศูนย์วิจัยทองคำ (Gold Research Center) ให้กรอบเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20,000-21,000 บาทต่อน้ำหนักบาททองคำ ในกรอบเฉลี่ยค่าบาทบริเวณ 30.24-31.16 บาท/ดอลลาร์

ดัชนีความเชื่อมั่นในทองคำในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.60 จุด ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ยขาลงตั้งแต่ดอกเบี้ยเฟดจนถึงยุโรปและแม้แต่ประเทศไทยที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อต้นเดือนสิงหาคม

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นในทองคำครึ่งหลังของปี พรวดขึ้นไปถึง 10.39 จุด

เหตุผลคือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การอ่อนค่าของเงินบาท สงครามการค้ายืดเยื้อ เงินทุนไหลออกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อเติบโต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีก 2 ครั้งช่วงไตรมาส 3-4 นี้

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้มีความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเป็นแรงต่อจากการเก็งกำไรราคาทองคำ

การเก็งกำไรทองคำทำให้มีการซื้อทองมากเกินกำลังตลาด (overbought) ทำให้ราคาเขยิบขึ้นต่อเนื่อง 1,500 ดอลลาร์/เอานซ์ เมื่อสัปดาห์ก่อนโดยไม่ถอยกลับอีกเลย

ทองคำจะขึ้นไปถึงไหน นักวิเคราะห์คร่ำหวอดในตลาดซื้อขายทองคำกว่า 20 ปี Douglas J. (Legacy Research Member) ชี้ว่าตามเส้นทางไต่เส้นกราฟมันจะขึ้นไปถึง 125% จากราคาปัจจุบัน

นั่นคือขึ้นไปถึงราคา $4,500 ต่อทรอยเอานซ์ !

หากเป็น 3 เท่าของราคาปัจจุบัน ราคาทองคำในไทยมิปาเข้าไปเป็น บาทละ 60,000-63,000 หรือ ?

มีเท่าทองเท่าหนวดกุ้งเคยนอนสะดุ้งจนเรือนไหว แต่ต่อไปนี้ อาจถึงสะดุ้งจนคอนโดฯ ไหวแล้วล่ะ

11 views
bottom of page