top of page
image.png

รับมือ BREXIT ผวาค่าเงินปอนด์...ส่งออกไทยป่วย ต้องรักษายาว


Interview: คุณกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

การเงิน-การเมืองโลกอลวน เศรษฐกิจโลกอลเวง สงครามการค้าจีน-อเมริกา รวมทั้งมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ทำให้สินค้าจีนราคาแพง ท้ายสุดผู้บริโภคต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ถ้าแบกไม่ไหวต้องรัดเข็มขัดกันไส้กิ่ว ผลสะท้อนจะย้อนกลับมาถึงผู้ผลิต ผู้ส่งออก ที่ยอดขายจะลดฮวบ ชี้...สงครามการค้าทำให้ไทยทั้งได้ทั้งเสีย ยอดส่งออกไปอเมริกาเพิ่มขึ้น แต่ยอดส่งออกไปจีนลดลง หักลบแล้วเสียมากกว่าได้ ภาครัฐตั้งเป้าอยากให้ส่งออกไทยปีนี้เป็นบวก แต่ภาคเอกชนรู้ดีว่าแค่ไม่ติดลบก็เก่งแล้ว ถ้าอยากช่วยกันจริงต้องแก้ไขปัญหาเงินบาทไม่ให้แข็งค่าผิดธรรมชาติ และภาครัฐต้องเร่งเจรจาความร่วมมือทางการค้ากับหลาย ๆ ประเทศเพื่อหาคู่ค้ารายใหม่โดยด่วน

สถานการณ์การประท้วงที่ฮ่องกง จะส่งผลกระทบมาถึงไทยเรื่องการส่งออกทางท่าเรือหรือไม่

จริง ๆ แล้วเขาออกมาประท้วงเรื่องกฎหมายส่งนักโทษข้ามแดนไปจีน ในส่วนท่าเรือเราไม่โดนผลกระทบ หากจะมีผลกระทบบ้างจะเป็นเรื่องการค้าที่มีการส่งเข้าส่งออกไปยังประเทศฮ่องกง จริง ๆ ไม่ได้ใช้ฮ่องกงเป็นทางผ่านเข้าจีนเท่าไหร่ แต่มีพื้นที่ของประเทศฮ่องกงเองที่มีประชากรประมาณ 7-8 ล้านคนที่เป็นตลาดของเราเหมือนกัน

ผลกระทบจริงจัง ยังไม่เกิดขึ้น

ไม่ และคนที่ไปประท้วงก็ไม่ใช่คนที่ทำงานท่าเรือ แต่เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งของคาเธ่ย์ แปซิฟิค เขาสั่งห้ามพนักงานเลย ถ้าไปร่วมประท้วงก็ห้ามไปจีนเลย ที่ฮ่องกงจะมีปัญหาเรื่องความคิดที่ต่างกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่มองเรื่องประชาธิปไตยที่ต้องทำให้ได้ คงต้องดูต่อไป เพราะฮ่องกงก็เป็นส่วนหนึ่งของจีน ไม่รู้ว่าจีนจะใช้นโยบายการปกครองฮ่องกงต่อไปอย่างไร

มูลค่าการค้าฮ่องกงกับไทยมากไหม

ไม่มาก ถ้าเรามองจำนวนประชากร 7-8 ล้านคนของฮ่องกงถือว่ายังไม่เยอะ

Brexit ก็คงเห็นว่ามีการหักดิบ อังกฤษก็ออกจากอียู ดังนั้น การส่งออกสินค้าจากไทยไปอียู รวมถึงอังกฤษ จากนี้จะเป็นอย่างไร

ในส่วนของไทยกับอียูทั้งหมด เรามีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 9-10% ซึ่งอียูเป็นกลุ่มตลาดที่มีความสำคัญกับไทยมากพอสมควร ทุกวันนี้การส่งออกสินค้าไปอียู จะมีปัญหาเรื่องเราไม่ได้สิทธิจีเอสพีมาหลายปีแล้ว รวมทั้งเราก็ค่อนข้างเสียเปรียบเรื่องภาษีนำเข้า ถ้าเป็นกลุ่มอาหารก็จะสูงถึง 20% เลย ตรงนี้ทางกระทรวงพาณิชย์ ทางสรท. และทุก ๆ สภา พยายามเร่งรัดกระทรวงพาณิชย์ให้เจรจาเรื่องเอฟทีเอให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ลดเรื่องกำแพงภาษีลง จะได้ผลักดันเรื่องการส่งออกมากขึ้น

ขณะที่ทางยุโรปกับทางอังกฤษไม่มีข้อตกลงกัน การที่อังกฤษแยกออกไป ทางกระทรวงพาณิชย์ก็มองว่าจะเป็นประโยชน์ในการที่เราจะไปเจรจาเรื่องเอฟทีเอไปพร้อม ๆ กัน ขณะนี้อังกฤษยังไม่มีเอฟทีเอกับใครเลย เพราะเป็นส่วนหนึงของสหภาพยุโรปมาตลอด พอแยกตัวออกมา อังกฤษเองคงต้องพยายามหาคู่ค้ามากขึ้น ก็จะเปิดช่องให้เราไปเจรจาเอฟทีเอกับอังกฤษ อาจจะได้ผลเร็วกว่าไปเจรจากับทางอียู

วันนี้การส่งออกของไทยไปอังกฤษยังไม่เยอะไม่ถึง 1% แต่เราก็มองว่าอีกหน่อยถ้ากำแพงภาษีหายไป สินค้าบางตัวจะมีโอกาสเปิดตลาดมากขึ้น ขณะที่อังกฤษเองจะนำสินค้าไทยไปแปรรูป ไปเป็นซัพพลายเชนของเขา ส่งเข้าอียูจะง่ายหรือไม่ ตรงนี้อาจจะลำบากนิดนึง ถ้าเขาไม่มีข้อเจรจาตกลงกัน ฉะนั้นทางกระทรวงพาณิชย์เองมองว่า เรามีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น แต่ สรท.ก็ยังติดใจเรื่องที่มีกระแสค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะกรณีถ้าถึงวันที่ 31 ตุลาคมแล้วยังไม่มีข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับอียู เงินปอนด์จะมีโอกาสอ่อนลงไปอีก ซึ่งทุกวันนี้ก็อ่อนแล้ว เหลือ 1.2 ดอลลาร์ ตอนที่แข็งที่สุด คือ 2 ดอลลาร์ต่อ 1 ปอนด์ ช่วงหลังลงมาเรื่อย ๆ ตอนที่มีประกาศ Brexit ขณะนั้นประมาณ 1.6 ดอลลาร์ วันนี้เหลือ 1.2 ถ้า Brexit แล้วอาจจะเหลือ 1.1 ดอลลาร์ ซึ่งน่ากลัวมาก

ถ้าปอนด์อ่อนค่า ต่อให้เรามีเอฟทีเอกัน แต่อำนาจการซื้อจะถดถอยลงไปเยอะเลย แล้วเขาก็มีปัญหาเรื่องการว่างงานอยู่แล้วด้วย ไม่เหมือนสหรัฐอเมริกาที่อัตราการว่างงานตอนนี้ลดลงไปเยอะมาก ขณะที่ทางยุโรปก็มีปัญหาเรื่องการว่างงาน ส่วนอังกฤษเรามองว่ามีโอกาส แต่ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่เขาจะอ่อนและบาทเราแข็ง เราก็เลยไม่รู้เหมือนว่าเราจะขยายตลาดอังกฤษได้มากน้อยแค่ไหน เพราะกำลังซื้อจะหายไปเยอะ

บริษัทคนไทยที่ไปตั้งบริษัทที่อังกฤษ ตอนนี้มีการย้ายฐานไปเนเธอร์แลนด์ ไปเบลเยียม หรือไปฝรั่งเศส ทางผู้ส่งออกต้องทำอย่างไร

ตรงนี้เราไม่ได้ลงไปลึก เพราะการลงทุนของบริษัทไทยที่เข้าไปอยู่ที่อังกฤษมีไม่เยอะ อาทิ ของสหวิริยาที่ไปตั้งโรงงานเหล็ก แต่ก็ปิดไปแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ไม่เยอะ การลงทุนของไทยที่ไปอังกฤษไม่เยอะ ถ้ายังมีอยู่ตอนนี้คงจะต้องมีการปรับตัวแน่นอน แม้กระทั่งทางสถาบันการเงินซึ่งลอนดอนเป็นเคลียริงเฮาส์ให้กับทางยุโรป ในด้านสถาบันการเงิน เขาก็ยังมองเลย ว่าตอนนี้มีการชิงกันว่าใครจะได้เป็นเคลียริงเฮาส์ของยุโรป เพราะอังกฤษรู้ดีว่าอีกหน่อยเขาจะเป็นเอกเทศ เป็นประเทศเล็ก ๆ ประเทศเดียว ที่สำคัญตอนนี้ไอร์แลนด์ก็ดี สกอตแลนด์ก็ดี ไม่รู้ตัวเองจะทำยังไง ยังต้องเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรอยู่ไหม ถ้าจะออกก็ออกไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คงต้องรอดูต่อไป คงต้องดูบอริส จอห์นสัน ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะสามารถทำอะไรให้เศรษฐกิจอังกฤษโต แต่ล่าสุดที่ได้ข่าวมาคือการเมืองอังกฤษก็สนุกดี ที่บอกว่าทางรัฐมนตรีคลังเริ่มโมโห เพราะผู้ช่วยของเขาที่ทำงานด้านประชาสัมพันธ์โดนไล่ออก ก็เลยเป็นการกระทบกระทั่งส่วนตัวบ้างแล้ว ก็เลยมองว่าไม่รู้จะออกมาในรูปแบบไหนแล้ว

ถ้าออกมาในทางที่ร้าย ทางสรท.จะมีข้อแนะนำอะไรบ้าง

ตอนนี้เราต้องบอกว่าเราต้องขอทางกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และทุก ๆ กระทรวง ต้องดูเลยว่า ถ้าส่งออกเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะต้องเร่งเข้ามาช่วยเพราะสิ่งที่เราเห็นอยู่คือตัวเลขไตรมาสที่ 2 ออกมาก็ไม่ดี การเติบโตจีดีพีก็ไม่ดี ปีนี้มีการปรับเป้าลงมาแล้ว จาก 3.8 มาเป็น 3.5 ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ตัวเลขไม่ถึง 2.8

สำหรับการกระตุ้นจีดีพีประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกคือกระตุ้นการบริโภค ซึ่งทุกวันนี้ทุกคนลดราคากัน ก็จะเป็นอีกตัวที่กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งที่บอกรัฐบาลจะให้ 500 บาท ในภาพระยะสั้นอาจจะดูดี แต่ในภาพระยะยาวมันไม่ได้สร้างในเรื่องผลผลิตของประเทศขึ้นมา เพราะรัฐบาลมองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วยการให้เงินกับบัตรสวัสดิการ 500 บาท ต้องมองว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว ซึ่งระยะยาวต้องมองเรื่องการปรับประสิทธิภาพ รวมถึงด้านการศึกษา

ส่วนการกระตุ้นตัวที่สองคือการลงทุนของภาคธุรกิจและภาครัฐบาล เราคาดหวังว่าในเรื่องของโครงการ EEC ที่ต้องผลักดันต่อในเรื่องอินฟราสตักเจอร์

และตัวกระตุ้นส่วนที่สามก็คือส่วนของการส่งออกและการท่องเที่ยว ถ้าบาทแข็ง โอกาสที่เราจะแข่งขันเรื่องส่งออกก็ยากขึ้น บาทแข็งนักท่องเที่ยวก็จะมาน้อยลง ก่อนหน้านี้เรายังมองว่าบาทแข็งคนยังมา มันเริ่มจาก 33 มา 32 ก็ยังไม่รู้สึก แต่วันนี้จาก 33 มา 30 มันเป็น 10% ตรงนี้รู้สึก เพราะฉะนั้นในส่วนของผู้ที่จะดึงเงินตราเข้าประเทศในรูปของการส่งออก ในเรื่องของการท่องเที่ยว เราคงต้องฝากไป ก็ไม่รู้ว่าแบงก์ชาติจะทำอย่างไรบ้าง แต่ว่ายังไงต้องช่วยดูอัตราแลกเปลี่ยน เราอยากให้อ่อนอยู่แล้ว เพื่อจะช่วยกระตุ้นด้านการส่งออก ทำให้เราแข่งขันได้มากขึ้น

การส่งออกของไทยที่ว่าเป็นไข้ จะกินยาหายหรือไม่

คงยาก และต้องรักษากันยาว หากกินพาราระยะสั้น ๆ ให้กระเตื้องขึ้นมาเหมือนเดิม คงจะไม่ใช่ง่ายอย่างนั้น เพราะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนก็เป็นตัวแปรที่สำคัญเหมือนกัน เราจะเห็น โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เดี๋ยวก็บอกว่าคุยกันได้แล้ว แต่ต่อมากลับมาบอกจะขึ้นภาษี แล้วบอกจะมาคุยกันอีก คือในภาพรวมหลาย ๆ สถาบันมีการวิเคราะห์กันออกมาว่า การมีสงครามการค้า ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมาหมดเลย คิดกันง่าย ๆ ภาษีที่มันบวกเข้าไปกับสินค้าที่นำเข้า ตัวนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องภาษี โรงงานผู้ผลิตเขาไม่รับผิดชอบเรื่องภาษีอยู่แล้ว ภาระ 25% หรือจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ก็จะถูกผลักไปที่ผู้บริโภค ทำให้สินค้าแพงขึ้น ทำให้ผู้นำเข้าไม่อยากนำเข้าสินค้า

ตรงนี้ที่เรากลัวคือผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้ตอนนี้เขามีเศรษฐกิจที่โต แข็งแรงที่สุดในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ถ้าอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นรวมเข้าไปอยู่ในราคาขาย และผู้บริโภคต้องจ่ายเงินตรงนั้นมากขึ้น ถึงจังหวะหนึ่งผู้บริโภคอาจจะบอกว่า ซื้อไม่ไหวมันแพง ก็อาจจะต้องชะลอการซื้อ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยไปเรื่อย ๆ

ฝั่งไอเอ็มเอฟเอง เดิมทีก็ประมาณว่าเศรษฐกิจโลกจะโตประมาณ 3.8 และมีการปรับลดมาเรื่อย ๆ ตอนนี้เขาบอกว่าจะโตแค่ 3.2 เอง ก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีอีกหลายประเทศที่มีปัญหา แม้กระทั่งการเมืองในอิตาลี นายกรัฐมนตรีอิตาลียังลาออกเลย การเมืองหลายประเทศมีความไม่แน่นอน และความไม่แน่นอนทางการเมืองก็ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจด้วย และความไม่แน่นอนทำให้ทั้งบริษัท นักลงทุน ผู้บริโภคต่าง ๆ เริ่มชะลอการลงทุน ชะลอการใช้จ่าย ต้องการเห็นความชัดเจนก่อน ก่อนที่จะเริ่มลงทุนต่อ

สงครามการค้าที่เขาบอกเก็บภาษีได้เพิ่มตั้ง 6 แสนล้าน และจะเก็บเพิ่มอีก ในส่วนของไทยมีส่วนได้กับเขามั้ย

คือจริง ๆ ก็มี มีทั้งที่ได้และไม่ได้ ส่วนที่ได้เราก็เห็นอยู่คือผลิตภัณฑ์ยาง จากการวิเคราะห์การส่งออกสินค้าไปจีน พบว่าตกลงมา 10% ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาโตขึ้นมาเกิน 10% ไปจนถึง 20% เลย แต่การเติบโตด้านทางสหรัฐอเมริกาไม่ได้ช่วยให้ตัวเลขการเติบโตการส่งออกของประเทศไทยมันดีไปหมด อย่างที่บอกว่าการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาดี จะเป็นในส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ไปสหรัฐอเมริกาโดยตรง กลุ่มนี้จะโตขึ้น ยางโตขึ้น สินค้าหลาย ๆ กลุ่มมีโอกาสเติบโตขึ้นได้ และสินค้าที่โตขึ้นที่สหรัฐอเมริกาก็เห็นว่ามันลดลงในการส่งออกที่ไปจีน

แต่ถ้ามองภาพรวม ก็จะเป็นตัวที่ทำให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าน้อยลง ดังนั้น สงครามการค้าในระยะสั้น ๆ มันเปิดโอกาสให้เราสามารถส่งออกไปสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้น แต่ส่งออกจีนลดลง ภาพรวมจึงไม่ได้ดีขึ้นกับประเทศไทย แล้วเศรษฐกิจที่เริ่มหดตัวลง ก็จะไม่ดีต่อภาคส่งออกด้วย ถ้าพูดโดยภาพรวม ๆ เราก็ต้องบอกว่า สงครามการค้า หรือการใช้มาตรการกีดกัน ไม่ว่าจะลักษณะไหน อย่างสหรัฐอเมริกามีมาตรการกีดกันสินค้าเหล็ก อะลูมิเนียม มีการคุยกันว่าจะกีดกันสินค้าพวกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เหล่านี้ อะไรก็แล้วแต่ที่มีมาตรการกีดกัน มันไม่ได้เป็นการส่งเสริมเรื่องการค้าเลย คือไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า มาตรการกีดกันของประเทศผู้นำเข้าก็ดี จะทำให้การส่งออกและเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมีโอกาสชะลอตัวลงได้ คืออยากจะให้ทุกอย่างปล่อยเสรี ให้เป็นไปตามกลไกตลาด และมีการแข่งขัน ทุกอย่างจะไปได้ดีกว่า

อยากได้ค่าเงินบาทแบบไหน

ค่าเงินเป็นปัจจัยที่เราคุมยาก ถ้ามองภาคส่งออก เราต้องมองว่าทุกวันนี้ สินค้าเกษตรขายของยากขึ้นแล้ว เรียกว่าจะสบายใจดีขึ้นถ้าอยู่ที่ 33 บาท การที่บาทแข็งมาเรื่อย ๆ ทำให้ สรท.คาดการณ์ว่าการส่งออกปีนี้มีโอกาสติดลบไปถึง 1% ซึ่งยังดีที่เดือนกรกฎาคมตัวเลขการส่งออกเราโตขึ้น ตอนนี้เรามองว่าพวกเราจะทำอย่างไรให้การส่งออกไม่ติดลบในปีนี้ก่อนดีกว่า กระทรวงพาณิชย์อยากได้บวก แต่พวกเราภาคการส่งออกเอกชนมองว่าการจะบวกไม่ง่าย แต่จะทำอย่างไรให้ไม่ติดลบมากกว่า คงต้องขอภาครัฐให้ดูเรื่องค่าเงิน เรื่องการเปิดตลาดให้มากขึ้นในรูปของการเจรจาเอฟทีเอ หรือการช่วยพาอุตสาหกรรมไปหาคู่ค้าในแต่ละกลุ่มประเทศ รวมถึงการอาจจะต้องเตรียมความพร้อมเพราะโลกอินเทอร์เน็ตมันไปเร็วมาก เผื่อเอาไว้ว่าอีกหน่อยการซื้อขายมันมี เนชันแนล เทรดดิง แพลตฟอร์มของประเทศไทยเอง อาจจะเป็นการช่วยส่งเสริมระดับเอสเอ็มอีที่หาตลาดผู้ซื้อยาก อาจจะใช้ในเรื่องของเทรดดิง แพลตฟอร์มเป็นตัวที่จัดการเรื่องซื้อขาย แม้กระทั่งการทำธุรกรรมเรื่องโลจิสติกส์ต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ จริง ๆ เรามองว่าเป็นประโยชน์ เราอยากให้มีการผลักดันตรงนี้มากขึ้น

 
bottom of page