Interview : ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จีนคิดสะระตะรอบด้าน มั่นใจประชาคมโลกไม่รุมทึ้งกรณีประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง เพราะทั่วโลกต้องพึ่งพาการค้าขายกับจีนในฐานะที่จีนมีอำนาจต่อรองใน Global Value Chain อีกทั้งจีนไม่ต้องพึ่งพาฮ่องกงในฐานะประตูการค้า-การลงทุนเหมือนสมัยก่อน เพราะจีนมีเมืองเศรษฐกิจ การเงิน ที่สำคัญกว่าฮ่องกง เช่น เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ไหหลำ ฯลฯ ที่สำคัญชาวฮ่องกงที่สนับสนุนการประท้วงจีนเริ่มกลับลำ ต้องการทำมาหากิน ไม่อยากเห็นความวุ่นวายที่ทำลายธุรกิจ การค้า การลงทุน อีกต่อไป
เที่ยวนี้จีนจะรับมือไหวไหม โดนรุมกินโต๊ะรอบทิศจากการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงต่อฮ่องกง
ผมคิดว่าจีนเขาก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงเหล่านี้มาก่อนเข้าสู่การเดินหน้าของกฎหมายความมั่นคง ถ้าความเสี่ยงอยู่ในระดับที่รับได้จีนก็เดินหน้า แต่จีนมองว่าการปลุกประเด็นอยู่ในระดับสังคมรับไม่ได้จีนก็ถอย เหมือนอย่างปี 2014 ที่พยายามจะออกกฎหมายฉบับนี้มาแล้วครั้งนึง ตอนนั้นก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ จีนก็ถอย เพราะมองว่าสถานการณ์ไม่คุ้มที่จะเดินหน้าต่อ แต่คราวนี้จีนมีความมั่นใจอะไรบางอย่างในระดับนึงว่าสามารถที่จะเดินหน้าต่อ ปัจจุบันประกาศบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงก็เรียบร้อยแล้ว
ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้หรือที่เราเรียกกันว่าฮั่งเส็ง ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาบวกขึ้นมา 3-5% แสดงว่าคงไม่มีใครต้านจีนได้
คือถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่สงบแล้วลากยาวเหมือนที่ผ่านมาตลอดปี 2019 คิดว่าเจ้าของธุรกิจการค้าการลงทุนการทำธุรกิจเขายอมที่จะให้ใช้กฎหมายบังคับ เพราะมีความสงบ ดีกว่าอยู่ในภาวะที่มีความสุ่มเสี่ยง มีการลากยาวของสถานการณ์ความไม่สงบ ช่วงเกิดเหตุการณ์ไม่สงบตลอดปี 2019 เราเห็นชัดเจนว่าความรุนแรงเกิดขึ้น มีการทำลายสาธารณูปโภค มีการหยุดงาน ธุรกิจไม่สามารถที่จะเดินหน้าได้ ซึ่งแบบนั้นจะมีความเสี่ยงมากกว่า
แม้ว่ากฎหมายฉบับนี้มีประเด็นที่หลายฝ่ายเป็นห่วง เช่น มันทำให้เส้นแบ่งระหว่างฝ่ายบริหารและตุลาการมันบางลงมาก เพราะฉะนั้นกลไกคานอำนาจการบริหารของนิติบัญญัติตุลาการฮ่องกงจะไม่เป็นรูปแบบเดิม แต่ข้อดีคือทำให้เกิดความสงบ เกิดเสถียรภาพ สำหรับการลงทุนนั้นความสงบ ความมีเสถียรภาพ การดำเนินธุรกิจแบบควรที่จะเป็น เป็นสิ่งที่เขาต้องการมากกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นแบบนี้เราจะเห็นการเจริญเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ เราเห็นการค้าการลงทุน ดัชนีเป็นบวกไม่ใช่เรื่องแปลก
บรรดาโลกตะวันตก อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ประกาศว่าจีนทำอย่างนี้พวกเขาจะตัดสิทธิพิเศษต่างๆ ที่เคยให้กับฮ่องกง คิดว่าสุดท้ายฮ่องกงจะเป็นเกาะร้างไหม
ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา สมัยก่อนฮ่องกงเป็นปากประตูการค้าการลงทุนของจีน แต่ปัจจุบัน GDP ของฮ่องกงไม่ถึง 3% ของ GDP จีน และเมืองใหญ่ของจีนไม่ว่าจะเป็นเมืองเซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่งนั้น GDP แต่ละเมืองมีมูลค่าเกินกว่าฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว ท่าเรือที่เซินเจิ้นมีขนาดใหญ่กว่าท่าเรือฮ่องกง มูลค่าการค้าผ่านท่าเรือมากกว่าฮ่องกงไปแล้ว บริษัทด้านการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น HSBC หรือ Citibank รวมทั้งบริษัทการเงินใหญ่ๆ ก็ย้ายไปอยู่เซินเจิ้นหมดแล้ว และจีนยังมี free trade zone ที่จะประกาศเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกับฮ่องกง เป็นเรื่องการผ่อนคลายกฎระเบียบ เรื่องขออนุญาต การเคลื่อนย้ายเมืองได้มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นต่อให้ฮ่องกงถูกบอยคอต ต่อให้ต่างชาติไม่ไปลงทุนในฮ่องกง ฮ่องกงก็กลับไปเป็นเกาะที่เป็นหมู่บ้านชาวประมง เพราะจีนก็เตรียมให้ฮ่องกงเป็นส่วนนึงของจีนในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่ได้แคร์ว่าฮ่องกงจะต้องเป็นเขตเศรษฐกิจต่อไปหรือไม่
จีนเตรียมตัวมานานแล้วที่จะรักษาฮ่องกงไว้ไม่ให้ใครมารุกล้ำอธิปไตย
จีนเตรียมความพร้อมเรื่องของการพัฒนาในเมืองที่อยู่ตรงข้ามฮ่องกง เช่นกรณีของเซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งแรกที่ เติ้ง เสี่ยวผิง เปิดขึ้นตั้งแต่ปี 1978 ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน ด้วยกฎระเบียบที่ผ่อนคลายมากพอ เมืองหลายเมืองก็โตขึ้นมา ปัจจุบันหลายฝ่ายก็มองอีกเกาะนึงที่จีนมุ่งพัฒนาด้วย คือไหหลำ ซึ่งมีขนาดพื้นที่ของเกาะใหญ่กว่าฮ่องกงประมาณ 3.3-3.4 เท่า มีท่าเรือขนาดใหญ่ จีนไม่ได้ตั้งใจให้เกาะไหหลำเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่จะตั้งไหหลำให้เป็นท่องเที่ยวด้วย เพราะฉะนั้นด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่าฮ่องกงก็เป็นแค่ฮ่องกง
ขณะเดียวกันถ้าถามคนฮ่องกง ปีนี้ก็จะเห็นว่าแกนนำกลุ่มต่อต้านทั้งหลายทุกคนเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว คนมีเงิน คนมีมันสมอง เจ้าของธุรกิจ เดินทางออกไปรอบแรกตั้งแต่ปี 1997 กลุ่มปฏิวัติธงเหลือง 2019 ที่มีการปิดเมืองครั้งใหญ่หลายๆ ฝ่ายก็เริ่มเดินทางออกต่างประเทศ ประเทศไทยก็ได้รับอานิสงส์ไปเยอะ นาทีนี้อสังหาริมทรัพย์คอนโดฯ ต่างๆ มีเศรษฐีฮ่องกงซื้อไปเยอะ พวกช่างฝีมือต่างๆ ย้ายมาอยู่เมืองไทย ย้ายไปอยู่แวนคูเวอร์ ไปอยู่หลายเมืองใหญ่ ทำไปทำมาคนฮ่องกงที่น่าสงสารเป็นคนที่ถูกปลุกกระแสขึ้นมาให้ไม่พอใจระบบของจีน แต่ในที่สุดคนฮ่องกงกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะออกจากระบบนี้ได้เพราะเขาไม่มีทางไป คนที่อยู่ด้านล่าง อยู่ตรงกลาง ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำมาโดยตลอด แต่คนเหล่านี้ไม่มีใครมาช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป
ประเทศต่างๆ เสนอเงื่อนไขดีๆ ให้ ไปลี้ภัย ไปทำงาน เงื่อนไขต่างๆ นี้เรียกความสนใจคนฮ่องกงมากน้อยแค่ไหน
คนที่เป็นมันสมอง เป็นเจ้าของเงินทุน เจ้าขององค์ความรู้ต่างๆ จะถูกดึงจากประเทศต่างๆ ดึงให้เข้าไปอยู่ บางคนได้เรียนต่อมีอนาคตที่ดี ได้ทุนการศึกษา บางคนได้รับการสนับสนุน แต่ปัญหาของคนที่โดนเหลื่อมล้ำมาตลอด คนที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านคอกหมา คนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ คนที่เคยที่ทำงานโรงงานแต่ปัจจุบันไม่มีโรงงานแล้ว เขาก็ไม่มีที่ไป ทำให้เดิมทีรู้สึกต่อต้านจีน เดิมทีคิดว่าอยู่ในระบบแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายกลับกลายว่าไม่มีทางออก กลุ่มนี้จะมีปัญหาเยอะมาก และปัญหาที่หมักหมมมานานไม่ได้รับการแก้ไขในจุดที่ออกมาเรียกร้อง
ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจีน ต้องเข้าใจว่าฮ่องกงถูกปิดตายตั้งแต่ปี 1980 ว่าเมื่อกลับไปอยู่ในอ้อมอกของจีนจะใช้ระบบปิดประเทศต่อเนื่องในระยะเวลา 50 ปี พอครบ 50 ปี ก็ปี 2047 ก็เป็นเวลาใกล้เคียงมากกับปี 2049 ที่จะเป็นจุดสำคัญที่จีนจะเฉลิมฉลอง 100 ปีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน จีนเปลี่ยนจากสังคมคอมมิวนิสต์เมื่อ 1 ตุลาคม 1949 ดังนั้น วันที่ 1 ตุลาคม 2049 จีนต้องทำตามความฝันให้ได้ ความฝันจีนคือจะเป็นประเทศร่ำรวย เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่มีคนยากจนแล้ว อีกหนึ่งความฝันของจีนคือ อำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินอื่น ในช่วงนี้จีนก็แสดงให้เห็นว่าจีนต้องปรับกฎระเบียบจาก 2 ระบบ ตอนนี้ค่อยๆ ปรับ จนปี 2047 จะกลายเป็นระบบเดียว และทำให้ฮ่องกงสามารถเดินต่อไปได้ ทำให้คนที่อยู่ในฮ่องกงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน เท่ากับจีนแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า เมื่อฮ่องกงกลับมาอยู่กับจีน ระบบจีนสามารถพัฒนาฮ่องกงได้สำเร็จในปี 2049
คิดว่าจีนยุค สี จิ้นผิง ใช้ไม้นี้กับฮ่องกง ถือเป็นการทำให้เสียของหรือเปล่า
ถ้าเกิดปล่อยแบบนี้ต่อไป ปล่อยให้มีการสร้างกระแสให้คนฮ่องกงเกลียดจีน อันนั้นจะยิ่งเสียของมากกว่า เพราะกลายเป็นเกาะทั้งเกาะเป็นสัญลักษณ์ติดบาร์โค้ดเป็นเหมือนลูกที่ถูกลักพาตัวไป ที่เรียกว่าศตวรรษแห่งความอัปยศที่จีนแพ้ต่างชาติ ก็อาจกลายเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยว่าจีนไม่ประสบความสำเร็จเพราะสัญลักษณ์นี้ คือคิดว่าจีนต้องทำกับฮ่องกงแบบนี้ เพราะฮ่องกงไม่ใช่ของมีค่าเพียงแห่งเดียวของจีน เพราะปัจจุบันเกาะต่างๆ เมืองต่างๆ จังหวัดต่างๆ ของจีนเป็นสิ่งมีค่า อาจจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าฮ่องกงในหลายพื้นที่ด้วยซ้ำ
จีนเหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ รู้ว่าต่างชาติกำลังจะเข้ามาทำอะไรกับฮ่องกงและส่งผลกระทบต่อแผ่นดินใหญ่ของเขาใช่ไหม
ถูกต้อง เพราะจริงๆ มี 3 อย่างที่จีนไม่มีทางยอมรับได้ คือ 1. มีการใช้กำลังอาวุธทำลายสาธารณูปโภคต่างๆ 2. มีการแบ่งข้าง 3. มีการแทรกแซงจากต่างชาติ ตลอดปี 2019 เห็นแล้วว่า 3 อย่างนี้จีนรับไม่ได้ พอมีการประกาศกฎหมายความมั่นคงออกมา แนวร่วมของฮ่องกงก็ประกาศจะมีการเคลื่อนไหวในฮ่องกงและขอแนวร่วมฮ่องกงในไต้หวันและสหราชอาณาจักรเดินหน้าต่อไป เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่จีนกลัวคือมีการแทรกแซงจากต่างประเทศ ซึ่งบางคนบอกว่าไม่มีมาตลอดปี 2019 มันแสดงชัดว่ามีอยู่จริงๆ เพราะอย่างแนวร่วมในฮ่องกงก็หยุดการเคลื่อนไหวในฮ่องกงแล้ว แต่แนวร่วมในไต้หวันหรือสหราชอาณาจักรยังเดินหน้าต่อ
สุดท้ายแล้วจีนจะไม่ถูกรุมกินโต๊ะจนต้องกลับไปตั้งหลักใหม่ใช่ไหม
คิดว่านาทีนี้จีนผูกพันตัวเองเข้าไปในจุดที่ทุกฝ่ายต้องเชื่อมโยงกับจีน คุณไม่สามารถที่จะปฏิเสธการค้าขายกับจีนได้เพราะจีนอาจใช้ความได้เปรียบในแง่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีแรงงานราคาถูก วันนี้จีนเป็นเจ้าของเงินทุน ถ้าดูจากสิ่งที่ธนาคารโลกทำรายงานออกมาล่าสุดก็บอกว่าวิธีการเดียวที่จะทำให้แต่ละประเทศสามารถพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถสร้างการเจริญเติบโตและสามารถสร้างงานให้กับประชาชนได้ ประเทศนั้นต้องเข้าสู่ Global Value Chain และถ้าจีนเป็นคนสำคัญใน Global Value Chain ในแง่เขาสามารถ Serve ทั้งการผลิต ทั้งตลาดที่มีศักยภาพสูง ทุกประเทศก็ต้องง้อจีน เมื่อทุกประเทศง้อจีน แล้วจีนจะโดดเดี่ยวได้อย่างไร
Comments