
ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากจีน ในการสกัดกั้นคริปโตเคอร์เรนซี เช่นบิตคอยน์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาคือ คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ได้เพิ่มธุรกิจเหมืองขุดเงินคริปโตเข้าไว้ในรายชื่ออุตสาหกรรมซึ่งถูกจำกัดหรือถูกสั่งห้ามลงทุน หรือ Negative List ซึ่งเป็นรายการธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งนักลงทุนจีนและนักลงทุนต่างชาติถูกห้ามเข้าลงทุน จากที่ก่อนหน้านี้หน่วยงานควบคุมด้านกฎระเบียบในจีนได้ห้ามการซื้อขายและการขุดเงินคริปโตเข้มข้นขึ้น และเดือนก่อนประกาศให้ธุรกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในจีนเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ไม่สนับสนุนให้ขุดเหมืองบิตคอยน์ ขณะธนาคารกลางจีนยืนยันที่จะกำจัดกิจกรรมที่ผิดกฎหมายเกี่ยวกับเงินคริปโต
อย่างไรก็ตามขณะที่จีนสกัดกั้นอย่างเข้มข้น อีกซีกโลกหนึ่งคือ สหรัฐอเมริกาที่แม้ไม่สนับสนุนก็เหมือนสนับสนุน โดย แพท ทูมีย์ วุฒิสมาชิกสหรัฐ พรรครีพับลิกันจากเพนซิลเวเนียกล่าวว่า การที่จีนปราบปรามสกุลเงินดิจิทัลรวมถึง Bitcoin ถือเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับสหรัฐอเมริกา ขณะที่ประธานเฟด ได้ออกมากล่าวหลังประชุมเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่าสหรัฐจะไม่แบนสกุลเงินดิจิทัลเหมือนรัฐบาลจีน
ผลก็คือ เหรียญต่างๆ นำโดยบิตคอยน์ กลับมีราคาปรับเพิ่มขึ้นๆ จนทะลุแนว 50,000 ดอลลาร์อีกครั้ง
และนี่คือมุมมองของ ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทย บิตแคสต์ ในฐานะนายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ที่กล่าวกับทีมงาน “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ให้จับตาการงัดข้อระหว่างจีน-สหรัฐ จาก “เทรดวอร์” สู่ “เทควอร์” และล่าสุด “คริปโตวอร์”
คุณศุภกฤษฎ์มองว่า คราวนี้จีนเอาจริง หรือว่าจะขึงขังไปสักพักหนึ่งเท่านั้น
ผมมองว่าจีนเอาจริงมาหลายรอบแล้ว
คิดว่ารอบนี้เอาจริงจังมาก สาเหตุหนึ่งเพราะเขาทำเงินดิจิทัลของตัวเองแล้ว คือ หยวนดิจิทัล และอย่างที่เรารู้กันคริปโตเคอร์เรนซีมันท้าทายอำนาจรัฐบาลจีนในแง่ควบคุมระบบการเงิน เพราะฉะนั้นการที่จีนออกเหรียญของเขามาเองก็ต้องจำกัดสิทธิในการใช้แบบเสรี อย่าง คริปโตเคอร์เรนซี อื่นๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่พอคาดเดากันได้สำหรับกลุ่มคนที่เข้ามาลงทุน
ผมมองว่าต้องแยกนักลงทุนในตลาดคริปโตเป็น 2 กลุ่ม คือกว่า 90% เทรดแบบเก็งกำไร ส่วนแบบ ลงทุนระยะยาว long term เขาไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรกับเหตุการณ์นี้ เพราะข้อเท็จจริงตัวบิตคอยน์มันไม่ได้เปลี่ยนพื้นฐาน มันเกิดตามหลักการยังไงก็ยังเป็นหลักการนั้นอยู่ตั้งแต่มันเกิดขึ้นมา
จริงๆ แล้วตัวบิตคอยน์ไม่ได้เปลี่ยน แต่สภาพแวดล้อมของตัวบิตคอยน์ที่มันเปลี่ยน ถ้าเราดูจากสถิติก็จะเห็นว่าจีนไม่ได้ต้อนรับบิตคอยน์มาตั้งแต่ปี 2009 คือ บิตคอยน์ออกมาตั้งแต่ปี 2008 ก็จริงแต่บ็อตแรกมันเกิดปี 2009 ซึ่งก็มีข่าวว่าจีนไม่โอเคกับบิตคอยน์ตั้งนานแล้ว แต่รอบนี้ดูจริงจังมากกว่าทุกรอบและดูเหมือนเขาพยายามผลักดันเหรียญดิจิทัลของจีนเองให้คนใช้งานมากกว่าบิตคอยน์
ที่จริงด้วยลักษณะ หยวนดิจิทัล กับ เหรียญอย่างบิตคอยน์ ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ถ้าพูดในเชิงเทคนิคมันอาจจะมีส่วนที่คล้ายกัน แต่ถ้าพูดในเชิงการใช้งานหรือควบคุมคือ เหรียญอย่างบิตคอยน์มันควบคุมไม่ได้ แต่หยวนดิจิทัลนั้นทางการจีนควบคุมเต็มที่ เขารู้ความเคลื่อนไหวของการใช้เงิน สามารถดูบัญชีของคนใช้เงินได้ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินได้ ตรวจสอบได้ ถ้าเราเห็นภาพการที่บริษัทไฟแนนซ์ปล่อยกู้ให้กับคนได้โดยมีหนี้เสียน้อยมากมันจะถูกวิเคราะห์กลับไปสู่มือรัฐบาลจีน เขาสามารถเห็นข้อมูลการใช้เงินของทุกคน
พฤติกรรมการซื้อขายคริปโต บิตคอยน์ เยอะมากขึ้นขนาดไหน หลังจากจีนสั่งแบนอย่างเข้มข้นขึ้นรอบนี้แต่ราคาปรับเพิ่มขึ้น
ผมไม่ได้ดูสัดส่วนโดยปกติดูจาก exchange ซึ่งไม่ได้สะท้อนอะไรมาก เราเข้าใจตัวเลขพวกนี้เป็นตัวเลขจริงๆ จากใครที่ไหนบ้าง เพราะคนในจีนเองพอถูกแบนก็(มุด)ออกมาซื้อข้างนอก IP ก็ไม่ได้บอกว่าคนซื้อขายมาจากไหน นอกหรือในจีนเท่าไหร่ พวกนี้บอกยาก
แต่กฎหมายของจีนที่ออกมารอบนี้มีจุดที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือ ลักษณะธุรกิจ อย่างสั่งแบนพวกนักขุดบิตคอยน์ แน่นอนพวกนักขุดก็อพยพออกมาขุดต่างประเทศ กำลังขุดในจีนลดลง ซึ่งนับจากที่โดนไล่กวาดล้างรอบนี้จนถึงวันนี้พบว่ากำลังขุดก็กลับมาใกล้เคียงกับก่อนหน้าที่มีการแบน ซึ่งในกลุ่มคนที่เชื่อมั่นตัวคริปโต หรือบิตคอยน์ มองเห็นว่าบิตคอยน์แข็งแกร่งเพราะถูกแบนมาหลายรอบแล้ว และรอบนี้ก็หนักมากๆ แต่ก็ยังสามารถกลับมายืนจุดที่ใกล้เคียงเดิมได้
ประเด็นที่ 2 น่าสนใจคือ ที่สั่งให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องของคริปโตเคอร์เรนซีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คำว่าผิดกฎหมายนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่ครอบคลุมไปถึงเรื่องของ การถือครอง คือเขาห้ามทำธุรกรรมแต่ไม่ได้ห้ามการถือครอง แบบนี้มันมีผลคือ หมายถึงว่าคนที่เก็บบิตคอยน์ ณ ปัจจุบัน ยังไม่ได้ถูกสั่งว่าเป็นการผิดกฎหมาย แต่เมื่อไหร่ที่ไปซื้อขายแลกเปลี่ยนถือว่าผิดกฎหมาย
คาดว่า สักวันจะมีไปถึงขั้นออกมาสั่งว่า การถือครอง ผิดกฎหมาย หรือไม่
เป็นไปได้ แต่เอาตามความเป็นจริงมันพิสูจน์ยากว่าใครถือ เพราะเรื่องบิตคอยน์มันพิสูจน์ยาก บางทีการออกกฎหมายไม่ได้เข้าใจความเป็นจริงของสภาพ มันเป็นเรื่องตลก เขาก็อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะทำถึงสุดที่จะไปกระทบกลุ่มที่เป็น retail
สภาพคือ ยิ่งจีนกวาดล้าง ปิดกั้นเข้มข้น ราคาบิตคอยน์ ก็ยิ่งขึ้น หรือส่วนหนึ่งเป็นเพราะฝั่งอเมริกาที่ทำตรงกันข้ามกับคู่อริจีน มีท่าทีสนับสนุนคริปโต
ลึกๆ แล้วไม่มีประเทศไหนให้ใช้บิตคอยน์ เพราะสุดท้ายแล้วบิตคอยน์มันจะดึงอำนาจการควบคุมการเงินออกจากภาครัฐ เพราะบิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้น เพียงแต่ตอนนี้อเมริกาเขาไม่มีเครื่องมือมาสู้กับจีนเรื่องระบบทางการเงินที่มี innovation โดยการออกหยวนดิจิทัลมาใช้ ลักษณะแบบนี้ ถ้าเราย้อนกลับไปดูแล้วเราจะเห็นเทรนด์ ในเรื่องเงินของอเมริกา เราไปดูรายงานได้เลยว่า central bank ที่เก็บเงินดอลลาร์ลดลงประมาณ 12% จากช่วงปี 1999 มันเคยมีความนิยมในการเก็บ 77% ปัจจุบันลดลงเหลือ 59% คือลงมาต่ำที่สุดในรอบ 25 ปี
เราจะเห็นว่าความนิยมเอาเงินดอลลาร์มาเป็นทุนสำรอง reserve ลดต่ำลงเรื่อยๆ มันมีหลายปัจจัยมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิมพ์เงินออกมามหาศาล ประเด็นคือแม้ว่าหยวนดิจิทัลจะไม่ได้ออกมาเป็น reserve ของโลก แต่การทำหยวนดิจิทัลมีผลที่เขาจะออกจากระบบการเงินที่ถูกอเมริกาควบคุมมายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อันนี้ทำให้เราเริ่มเห็นการขัดขั้วอำนาจการเงินแบบเก่าของอเมริกาด้วยวิธีใหม่ๆ
ตอนนี้อเมริกากำลังเพลี่ยงพล้ำหลายเรื่องพอสมควร รวมถึงความพยายามใช้ innovation อย่างคริปโตเคอร์เรนซีเข้ามา ตอนนี้จึงทำให้กลายเป็นว่าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถแบนคริปโตเคอร์เรนซีด้วยหลายปัจจัย คือ เรื่องนี้ที่เพลี่ยงพล้ำ
อีกประการคือ สหรัฐอเมริกาด้วยความที่เป็นเสรี ปล่อยให้ภาคเอกชนเข้ามาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมคริปโตระดับหนึ่ง ล่าสุดที่ coin base เข้าไปในตลาดหุ้น ดังนั้นการที่เขาจะแบนมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก และอีกอย่างมันมีหลาย exchange ได้รับใบอนุญาตในการเปิด ถ้าเขาจะแบนขึ้นมามันจะมีกลุ่มธุรกิจที่มีผลกระทบ ดังนั้นการแบนของอเมริกาจึงมองว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก (ไม่สามารถทำได้แบบจีน) แต่เขาก็ไม่ได้ออกมาสนับสนุนแบบสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดนั้นนะ แต่ความพยายามที่เขามองแล้วว่าล่าสุดเมื่อ 6 เดือนที่แล้วมีเอกสารอันหนึ่งที่หลุดออกมาซึ่งเป็นเรื่องที่เขามองว่าอาจจะมีความพยายามแล้วว่าอเมริกาเริ่มเอา GDP ของตัวเองออกมาจากความเพลี่ยงพล้ำหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นสงครามด้านเทคโนโลยีเทควอร์ สงครามการค้า เทรดวอร์ ตอนนี้มีสงครามด้านเงิน เริ่มที่จะใช้เครื่องมือพวกนี้พลิกสถานการณ์ ... ซึ่งต้องจับตาว่าแบบไหน
ช่วยแนะนำนักลงทุนในไทยนับจากวันนี้ ราคาเกิน 50,000 ควรลงทุนแบบไหนอย่างไร
ผมไม่ใช่สายเทรดเพราะฉะนั้นผมจะไม่เคยพินิจราคา ต้องบอกตรงๆ เพราะไม่มีพื้นฐาน ไปตามเทรนด์หรือเก็งราคา ผมอยู่ในกลุ่ม long term
เอาเป็นว่า ผู้ลงทุนควรใช้เครื่องมือบริหารใจที่ดีที่สุด และไม่ต้องเสียเวลาไปตามราคากันมาก และใจเราต้องนิ่งพอที่จะถือมันไปได้ เอาง่ายๆ ช่วงที่ราคาบิตคอยน์ตกเพราะจีนออกมาแบนหนักขึ้น จนวันนี้ปรับขึ้นถ้าเฉลี่ยราคามาก็ถือว่ากำไรแล้ว ถึงแม้เราจะซื้อตอนนี้ที่ราคาสูงมันก็ไปถัวกับต้นทุนเดิม เวลาเราถัวมันทำให้เราได้ต้นทุนที่เฉลี่ยถึงจะทำให้เราไม่ได้กำไรสูงสุด แต่เรายังเกาะอยู่ในกระแสของตลาดได้
ผมแนะนำว่าในการเข้าไปในคริปโต อย่าง บิตคอยน์ อย่าไปเชื่อมั่น 100% แบ่งเงินลงทุนออกมาเป็นสัดส่วนค่อยๆ ทยอยซื้อในระดับที่เรารับได้ถัวไปเรื่อยๆ ดีกว่า
Comments