
โมเดล DeepSeek ของจีนทำวงการ AI โลกสั่นสะเทือน เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของมหากาพย์สงคราม AI ระหว่างยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอเมริกา เพราะไม่เพียงชิงความเป็นหนึ่งในวงการ AI เท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ การเงิน การค้า อุตสาหกรรม การเกษตร ยุคใหม่ ที่มีผลต่อ GDP ความมั่งคั่ง และความเป็นมหาอำนาจตัวจริงในโลกอนาคต สำหรับไทยไม่จำเป็นต้องมุ่งมั่นพัฒนา AI จนเกินตัว เพราะด้วยเงินทุนและศักยภาพไทยสู้จีนและอเมริกา หรือแม้แต่สิงคโปร์ไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่ไทยควรทำคือเรียนรู้ เลือกใช้ AI อย่างชาญฉลาดและเป็นประโยชน์โดยไม่ยึดติดกับเทคโนโลยี AI ของค่ายจีนหรืออเมริกาเพียงค่ายเดียว และนำ AI มาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับจุดเด่นจุดแข็งของไทยเช่นภาคเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และท่องเที่ยว
Interview : ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute)
เรื่องของ AI เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนเราอย่างมากแล้วใช่ไหม คนไทยจะต้องปรับตัวกันอย่างไรเพื่อให้ทันยุคทันสมัย
ผมมองสิ่งที่เราเห็นตอนนี้โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านว่ามา AI มันพัฒนาตัวเองไปอย่างรวดเร็ว โดยมีสิ่งที่เราเรียกว่า Generative AI ซึ่งเป็น AI ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาได้เอง เช่น ChatGPT หรือ Gemini ของ Google พวกนี้สามารถที่จะแต่งเนื้อหา แต่งบทความ แต่งเพลง สร้างรูปภาพ เขียนบทความ สรุปบทความ ทำอะไรได้สารพัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องงานครั้งใหญ่
สมัยหนึ่งเราเคยคิดว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานที่ใช้แรงงานเพราะเราเห็นพวกหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรต่างๆ มันทำงานได้โดยระบบอัตโนมัติ แต่เราไม่เคยคิดว่าจริงๆ แล้ว AI จะเริ่มคิดเป็น ทำอะไรเหมือนกับมนุษย์ได้ งานหลายอาชีพก็เริ่มมีผลกระทบ แม้กระทั่งงานโปรแกรมเมอร์ที่แต่ก่อนเราคิดว่าคนที่จะเขียนโปรแกรมได้ต้องเก่ง ต้องเป็นมนุษย์ที่เขียนโปรแกรมได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้พอ ChatGPT มา บางทีมันเขียนโปรแกรมเก่งกว่าคนที่จบใหม่ๆ ด้วยซ้ำไป มันฉลาด แล้วต้องบอกว่ามันฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ตอนแรก 2 ปีก่อนเราจะเห็น ChatGPT ออกมา คนก็ฮือฮา สักพักหนึ่ง Google ก็ออกตัวใหม่มา Gemini เดี๋ยวก็สลับกันไป สลับกันมา จากที่แต่ก่อนมันเป็นข้อความเฉยๆ ตอนนี้มันคุยกับเราได้เลย เหมือนคน แล้วก็ตอบแบบชาญฉลาด
ล่าสุดที่เราเห็นเป็นข่าวฮือฮาขึ้นมาคือ ค่ายจีนออก DeepSeek แล้วมันยังเก่งขึ้นอีก แล้วราคาก็ถูกลง
DeepSeek ที่สร้างความฮือฮาเพราะมันเก่งมากๆ จะถึงขั้นทำให้หุ้นที่ทำเกี่ยวกับ AI ราคาตกลงไปมากมายได้ไหม
สําหรับผมส่วนตัว ถ้าถามผมความเก่งมันไม่ได้เก่งอะไรถึงขนาดนั้น อย่างค่ายของ GPT ค่ายของ OpenAI ของอเมริกาก็ออกตัว GPT-03 มา เก่งกว่า DeepSeek เยอะนะถ้าถามผม แต่สิ่งที่เขาฮือฮากันผมว่ามันไม่ใช่แค่ประเด็นว่ามันเก่งกว่ามันเก่งในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่มันฮือฮาขึ้นมาผมว่าอย่างแรกเลยเราคิดว่าจีนตามหลังอเมริกาในเรื่อง AI อย่างน้อยก็ 3 ปีขึ้น ยังตามไม่ทัน และทางสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีไบเดนต่อเนื่องมาก็พยายามที่จะแบนไม่ให้ส่งตัว CPU ของ Nvidia ที่อยู่ในขั้นแอดวานซ์ระดับที่ทำ AI ได้ดีไป
แต่พอโมเดลจีนตัวนี้ออกมาคนก็งงว่าคุณทำได้ยังไงในเมื่อคุณไม่มี CPU ขั้นแรงๆ มีแค่ระดับกลาง และอัลกอริทึมซึ่งแต่ก่อนเขาบอกว่าการจะทำมันซับซ้อนมาก แต่จีนก็ทำมาได้ เดี๋ยวเดียวก็ทำได้ แล้วใช้งบประมาณเท่าเดิม สมัยก่อนจะทำโมเดลตัวหนึ่ง อย่างเช่น ChatGPT จะต้องใช้เงินเป็นร้อยล้านเหรียญ แต่ DeepSeek ที่ทำมาใช้เงินแค่ 5.6 ล้านเหรียญเอง พอเห็นอย่างนี้ปั๊บก็เลยทำให้ราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีบางตัวตกลง เพราะแต่ก่อนเราเคยคิดว่า AI มันผูกขาดโดยบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ซึ่งจะต้องมีเงินทุนเยอะๆ ผมมองอย่างนี้ว่าอารมณ์ประมาณรถอีวี แต่ก่อนเราเคยคิดว่าเทสล่าต้องครองตลาดรถอีวี แต่พอตลาดจีนเขามาก็ถล่มราคาลดลงมา
เมื่อก่อนดีที่สุดต้องเทสล่าเท่านั้น แต่ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า AI ของจีนจะแซงหน้าอเมริกาได้ภายใน 1-2 ปีนี้ ผมไม่คิดอย่างนั้น เพียงแต่สิ่งที่เราเห็นทำให้เกิดปรากฏการณ์ Pricing War แบบใหม่ขึ้นมาแล้ว หมดยุคของราคาที่ผูกขาดโดยไม่กี่ราย ผมเชื่อว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลง มันก็เลยมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ในตลาด Nasdaq เราก็จะเห็นหุ้นอย่าง Nvidia วันหนึ่งจะตกลงมา 18% แต่วันถัดไปก็จะขยับขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่เราก็จะพูดกันตรงๆ ว่าแต่ก่อนเราเคยคิดว่าการจะทำโมเดล AI ยังไงคุณก็ต้องไปซื้อชิปมาจาก Nvidia ที่ผูกขาดอยู่เจ้าเดียว แต่ตอนนี้มันไม่แน่แล้ว อะไรอย่างนี้
บางคนก็บอกว่า DeepSeek เป็นแค่ราคาคุยหรือไม่ แล้วมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แค่ตั้งชื่อขึ้นมาหลอกหรือเปล่า ความจริงมันไม่ได้มีด้วยซ้ำไป จริงๆ แล้วคืออย่างไร
ผมเล่น DeepSeek มาพักหนึ่งแล้ว มันไม่ได้เพิ่งออกมา ผมเล่นมาน่าจะประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ถามว่าทำงานได้ดีไหม อันที่ผมชอบคือทำงานได้ดีระดับหนึ่ง แล้วก็ดีกว่าบางโมเดลที่เสียตังค์ด้วยซ้ำไป ความสามารถก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าถามคนในการพัฒนา DeepSeek มา สิ่งที่เขาใส่คือทีมงานเป็นยังไง งบประมาณ 5.6 ล้านเหรียญจริงไหม เอาข้อมูลมาจากไหน เอาของคนอื่นมาต่อยอดไหม ผมว่าคำถามมันมามากกว่า มันเกิดความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วหลักของ AI อันนึงคุณจะพัฒนาอะไรแล้วในเชิงของ Technical Paper มันจะต้องชี้แจงนิดนึง แต่ของ DeepSeek ไม่ได้เป็นการชี้แจงที่ชัดเจน ก็เลยเกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสในบางอย่าง
แล้วถ้ามองกันผมมองอย่างนี้ มันเหมือนที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดว่า DeepSeek เหมือนกับเป็น Wake up Call มากกว่า ทำให้ธุรกิจ AI ของอเมริกาอาจจะต้องขยับขึ้นมาตื่นตัวหน่อยว่าจริงๆ แล้วคู่แข่งคุณอาจจะมีวิธีการที่จะไปเอาข้อมูลบางอย่างมา อาจจะมีวิธีการที่ผมไม่อยากจะเรียกว่า Copy แต่ผมมองว่าเขาเอาโมเดลที่พัฒนาแล้วมาต่อยอด ซึ่งทำให้เหมือนเส้นทางลัดที่ทำให้ราคามันถูกลง ผมมองอย่างนี้มากกว่า แต่ผมไม่ได้คิดว่าไม่ใช่ของจริง เพียงแต่ความหมายผมคือมันก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น แต่ถ้าเกิดเวลาเขามีตัวชี้วัดที่เราเรียกว่า Benchmark เอามาทำข้อสอบอะไรพวกนี้ ผมก็ยอมรับว่า DeepSeek ทำได้ดีทีเดียว แต่เวลาเราจะใช้งานบางอย่างมันก็ไม่ได้ถึงขนาดว่าจะเด่นกว่าบางตัวมากมาย แต่จุดเด่นอีกอันหนึ่งผมต้องบอกว่ามันคือ Open Source มันเป็นซอฟต์แวร์ที่เขาเรียกว่าเปิดรหัสคุณเอาไปต่อยอดใช้ฟรีได้ แล้วมันทำให้ราคาขายของตัว DeepSeek สำหรับคนจะเอามาใช้ถูกกว่าของเจ้าเดิมๆ ที่ผูกขาด มันก็เลยเป็นประเด็นสร้างความฮือฮา
สำหรับธุรกิจไทยแล้ว เมืองไทยเรา คนไทยเราที่จะใช้งานที่จะเป็นประโยชน์และมีผลดีและไม่เสี่ยง ควรที่จะเลือกใช้อะไรแบบไหน
ผมมองอย่างนี้ ผมมองว่าสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร การแข่งขันของ AI ยังต่อสู้กันอยู่ยาวนาน เราเองเป็นประเทศที่ใช้เทคโนโลยี เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างบาลานซ์ให้ดีระหว่างค่ายจีนกับค่ายอเมริกา ผมไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเข้าไปเจ้าใดเจ้าหนึ่งในฐานะที่เราเป็นผู้ใช้ เช่น เราจะพัฒนาระบบอะไรที่เอา Model AI มาต่อยอด มันไปได้ทั้ง 2 ค่าย ค่ายของจีน ค่ายของอเมริกา ค่ายของจีนตอนนี้พอ DeepSeek มาก็ทำให้ต้นทุนเราต่ำหน่อย แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องระวังเหมือนกันเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบางอย่าง ถ้าของอเมริกาก็อาจจะราคาสูงกว่าแต่เขาก็มีการพัฒนาอะไรใหม่ๆ ที่ยังต่อเนื่องไปตลอด ยกตัวอย่าง ChatGPT บริษัท OpenAI เพิ่งเปิดตัว GPT-3O ขึ้นมาที่ถือว่าความสามารถสูงกว่า DeepSeek เยอะมาก เพราะฉะนั้นมันก็จะเป็นแบบนี้
ผมคิดว่าสิ่งที่เราได้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ของ DeepSeek ที่ชัดเจนคือต้นทุนการพัฒนา AI ของเราจะต่ำ แต่อันที่ 2 สิ่งที่เราอาจจะต้องระวังคือเราไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าต่อไปทุกอย่างเราจะต้องรันอยู่ภายใต้ระบบของจีนทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่ มันต้องสร้างสมดุลให้ดี แล้วในระยะยาวอย่างที่ผมพูดว่าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งผูกอยู่กับค่ายใดค่ายหนึ่งในระยะยาว ถามผมวันนี้เราซื้อรถอีวี เราจะลงทุนทีเยอะๆ ไหม คงไม่ใช่ เพราะเรารู้ว่ารถอีวีมันยังไม่สุด มันยังต้องพัฒนาการต่อ จริงๆ มันก็ไม่ได้บอกว่าจะมีผู้ใดผู้หนึ่งที่จะมาชนะขาด ยิ่ง AI มันยิ่งแข่งขันและมีการพัฒนามากกว่ารถอีวีเยอะ การแข่งขันมันจะสลับกันแพ้ชนะ แล้วมันจะออกมาแบบรวดเร็วมากจนเราตกใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือคนไทยต้องปรับตัว ต้องมีความตระหนักว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป การทำงานมันเปลี่ยนไป เราต้องเอา AI เข้ามาช่วยในการทำงาน
สิ่งสำคัญคือคนไทยจะต้องปรับตัว เราจะเห็นว่าเท่าที่สังเกตอย่างบริษัท องค์กร เอกชน ต่างๆ ตอนนี้เวลาเขาจะแถลงแผนงานกลยุทธ์อะไรต่างๆ จะพ่วง AI เข้ามาด้วยว่าจะมีการพัฒนาโดยใช้ AI ตรงนี้ความสำคัญมากน้อยขนาดไหน ควรที่จะให้ข้อสังเกตและข้อควรระวังในการใช้งานอะไรต่างๆ อย่างไร เพราะว่าคนไทยเราเข้าใจมากน้อยขนาดไหนที่จะไปสอดรับกันกับแผนงานของหน่วยงาน
ผมมองอย่างนี้ ถามว่าจำเป็นไหมที่องค์กรต้องมีกลยุทธ์ ต้องมีแผนงานที่เกี่ยวข้องกับ AI ผมไม่ได้เอาเทคโนโลยีนำ แต่สิ่งที่ผมมองคือต้องเอาธุรกิจเป็นตัวนำ และจะมองว่าเอาเทคโนโลยีตัวนี้เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจได้ยังไง ทำให้คนทำงานได้ยังไง แผนงานตรงนี้ต้องมีอยู่แล้ว คือถ้าไม่มี เราจะแข่งขันไม่ได้ เพราะตอนนี้บริษัทต่างๆ ก็นํา AI มาใช้มากในหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่าง โรงงานต่างๆ ที่เราเห็นทุกวัน AI ก็อาจจะทำให้พนักงานทำงานได้ดีขึ้น ลดจำนวนพนักงาน ลดค่าใช้จ่าย ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นยังไงเราต้องไปในจุดของ AI อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากกว่าคือกลุ่ม SME ผมไม่ค่อยห่วงองค์กรใหญ่ๆ บริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายที่น่ากังวล เพราะกลุ่ม SME จะได้รับผลกระทบเยอะ AI อาจจะเข้ามากระทบกับงานที่ทำตอนนี้ AI อาจจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานต่างๆ ที่ทำให้ SME ไม่สามารถที่จะแข่งขันได้ เพราะการจะลงทุนกับ AI มันก็จะมีค่าใช้จ่าย เรื่องของคนก็ต้องพร้อม ค่าใช้จ่ายด้านไอทีต่างๆ ก็เยอะ ผมคิดว่ากลุ่ม SME จะเหนื่อย จะถูกกระทบเยอะ แล้วต้องปรับตัวอย่างแรง จริงๆ อันนี้ก็ต้องบอกว่าภาครัฐอาจจะต้องเข้ามาช่วย แต่ขณะเดียวกันก็มีความกังวลอีกว่าภาครัฐเราพร้อมแค่ไหน จะช่วยมาชี้นำเขาในเรื่อง AI อย่างไร
อุตสาหกรรมของไทยเราก็เน้นเรื่องของเกษตรด้วย ภาคเกษตรใช้ AI ได้ด้วยไหม
สําหรับผมคิดว่าเราไม่ควรจะเป็นประเทศที่จะเป็นผู้ผลิต AI คืออย่างไรเราก็ไม่สามารถจะเป็น AI Hub แข่งกับจีน อเมริกา หรือประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์ แต่เราควรจะเน้นสิ่งที่เราถนัดมากกว่าเช่นเรื่องเกษตร เรื่องการท่องเที่ยว แม้กระทั่งการแพทย์ แต่เราสามารถเอา AI เข้ามาช่วยเสริมได้ โดยตอนนี้เรากำลังพูดถึงระบบเกษตรอัจฉริยะที่ทำให้เราเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพิ่มรายได้ อันนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องทำเลยว่าจะเอา AI เข้ามาช่วยยังไง เช่นเราจะเห็นได้ว่าปัญหาต่างๆ มันเยอะ เรื่องอ้อย เครื่องตัดอ้อยโดยอัตโนมัติ เรื่องโดรนอะไรต่างๆ ผมว่าเข้ามาช่วยได้เยอะ หรือแม้การเอา AI มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลในการผลิต เพราะฉะนั้นเราต้องเน้นพัฒนาในอุตสาหกรรมที่เราถนัดคือเกษตร การท่องเที่ยว แล้วเราเอา AI มาเป็นตัวเสริม เราต้องเป็นคนพัฒนา AI สำหรับอุตสาหกรรมของเรา
ปรากฏการณ์อย่าง DeepSeek ถือว่ามันฮือฮาแล้วก็จบไปแล้วใช่ไหม ต้องจับตาดูว่ามันจะมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่
ผมว่ามันยังไม่จบ มันเป็นปรากฏการณ์ ผมเทียบกันอย่างนี้ มีคนบอกเหมือนตอนที่สหภาพโซเวียตยิงดาวเทียมสปุกนิกขึ้นอวกาศในปี 1957 มันทำให้คนอเมริกาตกใจแล้วก็ทำให้เกิดสงครามอวกาศเกิดขึ้นว่าอเมริกาจะต้องส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ เคสของ DeepSeek ก็คล้ายๆ กัน เพราะตอนนี้มีคนพูดอยู่คำหนึ่งว่า AI เทียบได้กับสงครามอวกาศ หรือการแข่งขันกันไปอวกาศในยุคเก่า เพราะฉะนั้นเคสของ DeepSeek มันสร้างความตื่นตัวให้กับวงการอุตสาหกรรม AI อย่างมากโดยกับเฉพาะอเมริกา และการแข่งขันมันยังแข่งกันแรง เพราะตอนนี้เกมนี้มันกลายเป็นการแข่งระหว่าง 2 มหาอำนาจคือจีนกับอเมริกาว่าใครสามารถจะทำเทคโนโลยี AI ได้ดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นจะเป็นผู้ชนะด้าน IT เท่านั้น แต่หมายถึงในเรื่องของ GDP ในเรื่องของการผลิต ในเรื่องของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงอาหาร เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าเกมนี้ยังแข่งกันอีกพักใหญ่ เรื่อง DeepSeek เป็นแค่ปรากฏการณ์หนึ่งเท่านั้น
Comentários