นโยบายทรัมป์ ทำโลกการเงิน โลกการค้าปั่นป่วนผันผวน ประเมินว่าเลวร้ายสุดคือเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะติดลบ 0.8% จากฐานเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ เช่นถ้าเคยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโต 3.2% แต่ด้วยนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ จะทำให้เศรษฐกิจโลกโตได้แค่ 2.4% ส่วนปี 2026 เศรษฐกิจโลกจะติดลบมากกว่าที่เคยคาดการณ์ถึง 1.2% ในส่วนของการทำ Trade War ด้วยการขึ้นกำแพงภาษี สุดท้ายแล้วอเมริกาจะเจ็บตัวที่สุด เพราะสินค้าราคาแพงขึ้น กระทบคนอเมริกันทั้งประเทศ ที่เจ็บตัวรองลงมาคือจีนที่เป็นเป้าหมายหลักของ Trade War ในขณะที่ยุโรปกับไทยจะโดนหางเลขแบบเบาๆ เจ็บตัวเล็กน้อย ส่วน Bond Yield 10 ปี และ 2 ปีของอเมริกาจะลดลงต่อเนื่อง เหตุจาก Fed ทยอยลดดอกเบี้ย ด้านค่าเงินบาทของไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์
Interview : ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์เอกซ์
ตอนนี้โลกเข้ามาสู่ยุคที่ต้องจับตาดูกรณีประธานาธิบดีทรัมป์คัมแบ็ก
ใช่ ก็ดูเสี่ยงมากขึ้น แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ต่างจากที่เราคาดก่อนหน้านี้ที่มาคุยเมื่อเดือนที่แล้ว ในมุมมองที่เรามองก็มองภาพในเรื่องของตัวทรัมป์ได้ แล้วก็ตัวสภาก็จะเป็นสภาได้ทั้งหมด 3 บ้าน ถึงแม่นแต่ก็เสียว เพราะช่วงหลังๆ นี้โพลก็สูสีกันมาก แต่ปรากฏว่าผลออกมาก็เรียกว่าชนะขาด ผมก็โอเค จะว่าโล่งใจก็โล่งใจที่ทายถูก แต่กังวลว่าต่อไปมีงานหนักแน่นอน เพราะทรัมป์ปรับไปปรับมา
แต่ขออนุญาตมองภาพแล้วกัน เพราะนอกจากเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือการประชุม FOMC ของทางเฟด สัญญาณค่อนข้างชัดเจนทั้งคู่ ในฝั่งของเฟดก่อนผมก็เห็นชัดๆ ว่าถ้าให้สรุปภาพรวมคือการลดดอกเบี้ยก็ลดตามที่หลายฝ่ายคาดลด 0.25 มาอยู่ที่ 4.5-4.75% แล้วธีมหลักของการที่สัมภาษณ์ในคราวที่แล้วคือประเด็นที่คนกังวลเรื่องของความเป็นอิสระของธนาคารกลางว่าทรัมป์จะมาแทรกแซงได้ไหม ถ้าทรัมป์สั่งให้ลาออกพาวเวลจะลาออกไหม พาวเวลก็บอกว่าไม่ลาออก ก็บอกว่าจริงๆ ประธานาธิบดีก็ไม่มีอำนาจในการปลดหรือว่ามีการสั่งให้ออก แล้ววาระของเขาจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2026 ก็เป็นภาพเช่นนั้น
แต่ถ้าดูในเรื่องของเฟด เราก็เห็นสัญญาณว่าเฟดเริ่ม Balance มากขึ้น ก่อนหน้านี้อาจจะกังวลในเรื่องของตลาดแรงงาน ตอนนี้ตลาดแรงงานเรียกว่าผ่อนคลาย การว่างงานแม้จะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังต่ำอยู่ แต่เงินเฟ้อที่เคยพูดว่ามั่นใจมากว่าสามารถคุมเงินเฟ้อได้ ตอนนี้ก็เอาประโยคนั้นออกไป ก็บอกแค่เพียงว่าเงินเฟ้อในระยะยาวก็มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% พอเป็นภาพเช่นนี้สัญญาณคือถ้าทิศทางเป็นอย่างที่มองก็อาจจะลดดอกเบี้ยต่อได้ในระดับหนึ่ง อันนี้คือหลายฝ่ายรวมถึงเราก็ตีความไป
แต่ก็มีคำถามมาถามถึงทางฝั่งของพาวเวล ประธานเฟดว่าแล้วนโยบายของทรัมป์ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสงครามการค้า เรื่องของการลดภาษี ซึ่งจะทำให้การขาดดุลการคลังมากขึ้น Bond Yield เพิ่มขึ้น มุมมองของนโยบายการเงินเปลี่ยนแปลงไปอีก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการลดตัวภาษี เรื่องของการดำเนินนโยบายการเงินก็จะทำตามในธันวาคมและปีหน้า เดิมทีเรามองว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 6 ครั้ง แต่ผมมองอาจจะเป็นลด 4 ครั้ง พูดง่ายๆ คือปีนี้ลด 2% จาก 5.4% ก็เหลือประมาณ 3.4 ตอนพีกของเขาดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.4 เรามองว่าปลายปีหน้าจะอยู่ 3.4% ซึ่งผมก็ค่อนข้างโอเค คือลดลง 2% ก็จะเป็นทิศทางที่ใกล้เคียงกับที่อื่นๆ รวมถึงบ้านเราด้วย คือบ้านเรานี่จะลดประมาณทั้งหมด 1% การประชุมเดือนธันวาคมก็น่าจะลดอีกครั้งหนึ่ง แล้วในปีหน้าน่าจะลดอีก 2 ครั้ง ที่บอกไปก็เพื่อให้เราเห็นภาพนโยบายการเงินภาพแรก
ภาพที่ 2 คือเรื่องของทรัมป์ซึ่งถ้ามาโลกอาจจะมีความผันผวนมากขึ้นหรือไม่ อันนี้ก็เป็นไปได้ แต่ที่น่าสนใจและน่ากังวลที่สุดคือเรื่องสงครามการค้าที่เขาบอกว่าเขาจะขึ้นภาษีกับจีน 60% แล้วขึ้นทั่วโลก 10% ซึ่งหลายสำนักวิจัยก็มีการคาดการณ์ Impact ต่างๆ แต่สำนักวิจัยที่เราหยิบมาใช้เขาวิเคราะห์ได้อย่างรอบด้านอยู่แล้วและมี Model ค่อนข้างดี เราเอามุมมองใหญ่มาเพื่อมามองต่อภาพของไทย สิ่งที่เรามองคือเขาก็มีการคาดการณ์ในเรื่องของตัวแฟกเตอร์ต่างๆ ที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีแล้วเกิดสงครามการค้ากัน แต่เขาตั้งสมมุติฐานว่าขึ้นประมาณแค่ 10% ไม่ใช่ขึ้น 60% กับจีนอย่างที่ทรัมป์หาเสียง แต่ก็จะมีการตอบโต้จากทั้งยุโรปแล้วก็จีนกลับมาด้วย นอกจากนั้นเรื่องของความไม่แน่นอนที่มากขึ้นคือตัวเรื่องของการลดภาษีนิติบุคคลที่ทำให้ความเสี่ยงเรื่องการขาดดุลการคลังมากขึ้น แล้วก็ทำให้ Bond Yield สูงขึ้น รวมถึงการเนรเทศผู้อพยพต่างๆ ภาพพวกนี้มันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจทั้งหมด
เขาก็วิเคราะห์กันว่าถ้าเอาปัจจัยทั้งหมดมาประเมินเศรษฐกิจโลกปีหน้า สมมุติตั้งเป้าว่านโยบายเริ่มขึ้นกลางปีหน้า กรณีเลวร้ายสุดเศรษฐกิจโลกจะติดลบถึงเกือบ 0.8% คือพูดง่ายๆ ถ้าเผื่อเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่มองไว้คือ3.2% แต่ถ้าเลวร้ายสุดจะหักไปประมาณ 0.8 ก็เหลือแค่ 2.4 เห็นภาพใช่ไหม ลงมาเยอะเหมือนกัน แล้วปี 2026 ก็ลงแรงกว่านี้อีกประมาณ 1.2% คือเขาก็มองว่าเศรษฐกิจโลกลงแรงมาก แต่ว่าพอยต์ที่น่าสนใจคือมันมีหลายแฟกเตอร์ สมมุติถ้าเราเอาเฉพาะแฟกเตอร์เรื่องของสงครามการค้าแฟกเตอร์เดียวมาแล้วเปรียบเทียบกับหลายประเทศ จะพบว่าสงครามการค้าจะทำให้เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจอเมริกาชะลอลงเยอะสุด คือชะลอประมาณ 0.4 จากฐานเดิม เพราะมีคำพูดว่าสงครามการค้าหรือการขึ้นกำแพงภาษีมันเหมือนกับการที่เราจุดไฟที่บ้านตัวเองแล้วหวังว่าควันไฟมันจะลอยไปสู่เพื่อนบ้านและทำให้เพื่อนบ้านที่เราไม่ชอบหน้ามีอาการแสบตา แต่ความจริงคือบ้านเรามันจะแย่มากเพราะทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มมากขึ้น ผลกระทบต่อสงครามการค้าหลักๆ คือตัวอเมริกาเอง รองลงมาคือจีน ประมาณ 0.2 บ้านเรารวมถึงในยุโรปแล้วที่อื่นในโลกประมาณ 0.1 คือพูดง่ายๆ ได้รับผลกระทบน้อยกว่าในอเมริกาเอง
ฉะนั้นผมมองภาพว่าถ้านโยบายมันเลวร้ายอย่างนี้ทำไมเขาถึงเอามาใช้หาเสียง แล้วทำไมคนอเมริกันถึงเลือกเข้ามาและชนะแบบแลนด์สไลด์ด้วย ผมก็เลยย้อนกลับไปดูย้อนสมัยทรัมป์ 1 ถ้ามานั่งคิดดูดีๆ ทรัมป์ทำสงครามการค้า คือขึ้นภาษีครั้งแรกกับทั่วโลกผ่านในตัวเหล็กกับอะลูมิเนียม หลังจากนั้นก็ไปเล่นจริงๆ กับจีนที่เขาไปทำสงครามการค้าเมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 ของการเป็นประธานาธิบดี คือปลายปี 2017 เริ่มที่จะสามารถเจรจากับสภาได้ แล้วมีการที่จะลดภาษีนิติบุคคลตอนนั้นจาก 28% เป็น 21% หลังจากนั้นเศรษฐกิจฟูมากเลย แล้วก่อนหน้านี้เขาก็พยายามที่จะลดในเรื่องของกฎระเบียบอะไรต่างๆ พอเป็นภาพเช่นนั้นเศรษฐกิจอเมริกาฟูมากในปี 2017-2018 พอเศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่งแล้วเขาถึงเริ่มขึ้นภาษีการค้า แต่ก็ขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เราก็จะเริ่มเห็นความที่ไม่แน่นอน เขาก็ทำให้เราตกใจกันเป็นส่วนใหญ่เพราะไม่รู้ว่าเขาจะประกาศอะไรหรือแบบไหน คือประกาศเยอะ แต่เอาจริงคือเหมือนจะไม่เยอะเท่าไหร่
ฉะนั้นผมเลยสรุปอย่างนี้แล้วกันว่าอินโนเวสท์เอกซ์เราเชื่อว่าทั้งปีหน้าที่เขาจะเริ่มขึ้นเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่มกราคมไปจนถึงธันวาคม สงครามการค้าถ้ามีก็จะไม่แรง แต่สิ่งที่เราคาดการณ์คือเขาจะกลับไปแซงชันอิหร่านแรงขึ้น น้ำมันที่อิหร่านผลิตมาอาจจะเรียกว่าหายไป ตอนนี้แต่ละวันอิหร่านผลิตน้ำมันประมาณ 3.3 ล้านบาร์เรล ก็อาจจะกลับไปอยู่แถวๆ แค่ 1.9-2 ล้านบาร์เรล คือน้ำมันที่หายไป แล้วเขาจะให้อเมริกาผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเขาก็ประกาศแล้วว่าถ้าเขาเข้ามาเขาจะสนับสนุนในเรื่อง Shale Oil และ Shale Gas คือผลิตน้ำมันได้มากขึ้น เศรษฐกิจอเมริกาในปีหน้าจะดีมากโดยเฉพาะเซกเตอร์ในเรื่อง Oil and Gas แล้วก็จะรวมถึงการลดระเบียบต่างๆ อาจจะทำให้เศรษฐกิจฟูขึ้นไปได้ แล้วกว่าที่เขาจะเริ่มลดภาษีซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจจริงๆ คือปลายปีหน้า ผลต่อเศรษฐกิจที่จะเป็นนโยบายจริงๆ จะเริ่มในปลายปีหน้า แล้วหลังจากนั้นปี 2026 เขาถึงเริ่มที่จะทำสงครามการค้า เพราะฉะนั้นพอเป็นภาพเช่นนี้เศรษฐกิจอเมริกาจะไม่ได้แย่มาก คือจะชะลอลง แต่ไม่ได้แย่มาก ขึ้นอยู่กับว่านโยบายที่เขาทำในปีหน้าที่ยกเลิกกฎระเบียบมันจะช่วยเศรษฐกิจดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งบ้านเรา อาจจะไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้น
Bond Yield จะเป็นอย่างไร
เรื่องของ Bond Yield ผลตอบแทนพันธบัตรในช่วงที่ผ่านมาที่ขึ้นมหาศาล 10 ปีขึ้นมา 4.4% ตอนนี้เพิ่งเริ่มกลับลงไป ผมมองว่ามันเกินไป ในระยะต่อไปผลตอบแทนพันธบัตรของอเมริกาทั้ง 10 ปีแล้วก็ 2 ปีจะลงเร็วกว่า เพราะว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย พอเป็นภาพเช่นนั้นทำให้มุมมองที่เคยร้อนแรงมากจะค่อยๆ ลดลง
อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องของค่าเงินบาทที่ผ่านมา ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากมาจากประมาณ 101-102 ขึ้นมาเป็น 105 ในเวลาอย่างรวดเร็ว พอมาเป็นเงินบาทเราก็เลยเห็นเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วใช่ไหม เคยได้แข็งสูงสุดแถวๆ 32.2-32.3 ในช่วงประมาณเดือนกันยายน ตอนนี้ก็เรียกว่าอ่อนลงมารวดเร็ว วันนี้อยู่ที่ประมาณ 34.2-34.3 เรามองภาพว่าจริงๆ มุมแบบนี้เรามองไว้อยู่แล้วว่าบาทจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันนี้มาก ตอนนี้ทั้งปีที่ผ่านมาค่าเฉลี่ย Year-to-Date อยู่ที่ประมาณ 35 บาทต่อดอลลาร์ต้นๆ ซึ่งเราก็มองภาพว่าเช่นนี้ไตรมาส 4 ก็จะอยู่แถวๆ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ แล้วปีหน้าถ้าเฟดลดดอกเบี้ยตามที่เราคาดคือลดอีก 1% เพราะปีนี้ลดไป 1% แล้ว ปีหน้าลดอีก 1% แล้วบ้านเราก็ลดอีก 50 สตางค์ เพราะปีนี้เราคิดว่าจะลด 0.5 ปีหน้าลดอีก 0.5 ฉะนั้นพอเป็นภาพเช่นนี้มันเหมือนแมตช์กันระดับหนึ่ง เพราะตอนขาขึ้นทั้งหมดเราขึ้นประมาณ 2% บ้านเขาขึ้นประมาณ 5% ฉะนั้นพอทางลงเขาลงประมาณ 2% เราลงประมาณ 1% ประมาณเรียกว่าครึ่งหนึ่งก็น่าจะเหมาะสมกัน ซึ่งถ้าเป็นภาพเช่นนั้นบาทไม่น่าจะอ่อนมากหรือแข็งมาก เราก็มองว่าบาทจะเป็นทิศทางประมาณ 35 บาทต่อดอลลาร์
แต่แน่นอนว่าความเสี่ยงระยะต่อไปคือเรื่องของความผันผวนจะค่อนข้างสูง เราไม่รู้ว่าทรัมป์จะประกาศอะไร แต่ถ้าเผื่อฟันธงระยะยาวก็แน่นอนว่าเขาคงทำแบบนี้ เพราะเรามีประสบการณ์ในทรัมป์ 1 มาแล้ว เราก็พอเบาใจได้ถ้าหลังจากนั้นเราก็สามารถที่จะลงทุนได้ตามที่เรามองในระดับหนึ่ง
Kommentare