นโยบายตั้งกำแพงภาษีทรัมป์ 2.0 ยังไม่แน่ว่าแค่ขู่...หรือเอาจริง ล่าสุดเจอจีนสวนควันปืน ออกไม้เด็ดคุมเข้มการส่งออกวัสดุ-แร่ธาตุหายากที่จำเป็นในโครงการยานอวกาศ การผลิตชิป-คอมพิวเตอร์ รวมถึงตั้งป้อมกีดกันบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกาเกือบ 30 บริษัท สุดท้ายอาจเห็นอเมริกา-จีนจับมือกันโดยอ้างผลประโยชน์ของประชาคมโลก โดยทรัมป์เองต้องเร่งแก้ปัญหาภายในทั้งเรื่องตลาดหุ้น ตลาดทุน ให้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ส่วนไทยยังคงอยู่ในเส้นทางปืนของอเมริกาในฐานะได้ดุลการค้าอเมริกามาต่อเนื่อง ไทยจึงจะยังคงมีปัญหาด้านการส่งออก แต่อาจจะได้รับการชดเชยจากการย้ายฐานการผลิตของญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ที่ย้ายจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียน ถ้าไทยสามารถปรับตัวเพิ่มทักษะแรงงานให้มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะด้าน AI ที่ตอนนี้ไทยยังล้าหลังกว่าเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม สิงคโปร์ อินโดฯ
Interview : คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ที่อาจารย์เคยเตือนว่าอเมริกาจะเป็นต้นตอวิกฤตของโลก มาถึงตอนนี้ยังมีมุมมองเรื่องวิกฤตของอเมริกาเช่นเดิมไหม โดยเฉพาะหลังจากที่ทรัมป์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
คือทรัมป์ประกาศนโยบายเขาชัดเจนว่าเขาจะใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง เพื่อที่จะดึงการผลิต อุตสาหกรรมให้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศต่างๆ เข้าไปสู่อเมริกา ก็เพื่อที่จะทำให้การค้าขายอเมริกามีฐานะที่ได้เปรียบมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นตรงนี้มันมีสิ่งที่น่ากังวลคือเหตุการณ์ที่สหรัฐเคยขึ้นภาษีในลักษณะที่รุนแรงในอดีตมาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือการขึ้นภาษีในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ใหม่ๆ 1 ครั้ง หลังจากนั้นยังไม่พอยังไปขึ้นภาษีอีกครั้งหนึ่งประมาณในปี 1930 ปรากฏว่าทำให้การค้าในโลกชะลอตัวลงอย่างหนักเลย พอการค้าโลกชะลอตัวลงทำให้ประเทศอื่น ประเทศที่เป็นคู่ค้ากับสหรัฐก็ตอบโต้โดยการตั้งกำแพงภาษีกลับ ต่างคนต่างตั้งกำแพงภาษีกันและกัน ในที่สุดทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังจากปี 1934 ที่สหรัฐขึ้นภาษีไปแล้ว โลกเข้าสู่สถานะที่เราเรียกว่า Great Depression ทำให้ข้าวยากหมากแพง ลากยาวไปหลายปี จนในที่สุดเหตุการณ์บานปลายปะทุขึ้นมา กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะฉะนั้นสิ่งที่ชัดเจนคือการต่อสู้กันโดยใช้กำแพงภาษีจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การค้าโลกลดลง แล้วก็จะเกิดปัญหา เกิดความตึงเครียดในเวทีการเมืองระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นได้
บางคนบอกว่าเกิดไม่ทันช่วง Great Depression แต่ก็ยังได้เห็นสงครามการค้าโลกในช่วงทรัมป์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แล้วตอนนี้ก็เกิดสงครามการค้าอีกแล้ว ดูแล้วจะยิ่งหนักไปกว่าเดิมไหม
คนที่เกิดทัน Great Depression ตายไปหมดแล้ว คนที่อยู่เวลานี้ยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นหนักหนาสาหัสอย่างไร
คืออย่างน้อยคนยุคสมัยนี้ก็ได้เห็นสงครามการค้าสมัยทรัมป์ 1 ตอนนี้เป็นยุคทรัมป์ 2.0 กังวลกันว่าปัญหาจะยิ่งหนักสาหัสกว่าเดิมไปอีก แต่บางคนก็บอกว่าอาจจะไม่เหมือนเดิม อาจจะเบาไปกว่าเดิมก็ได้ เพราะเหมือนกับจีนก็มีวิธีตอบโต้ทรัมป์เหมือนกัน
เวลานี้ทรัมป์ 2.0 เขารู้ช่องทาง เรียกว่าจะต้องกดปุ่มตรงไหน จะต้องเข้าไปบีบอย่างไร จะต้องทำอย่างไรให้เกิดผลตามที่เขาต้องการ ทรัมป์ 2.0 เขาชำนาญมากกว่า 1.0 เยอะเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาอยากได้เขาได้แน่นอน เวลานี้เขายังคุมทั้งสภาสูงและสภาล่าง ในแนวนี้ก็หมายความว่านโยบายที่ทรัมป์หาเสียงเป็นสิ่งที่เราจะต้องเอามาคำนึง แล้วเอามาประกอบการวางนโยบายวางแผนของเราอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เขาอยากได้จะเกิดผลแน่นอน ตัวที่แปรเปลี่ยนไปมันจะมีปัจจัยคืออยู่ที่ว่าทรัมป์อยู่ดีๆ จะปล่อยหมัดอัปเปอร์คัต หมัดฮุก หมัดหนักเลย หรือว่าเขาจะใช้วิธีปล่อยหมัดแย็บ คือทำทีว่าขู่ไว้ก่อนเดี๋ยวจะขึ้นภาษีเท่านี้เท่านั้น อาจจะดูแล้วเหมือนกับทรัมป์เป็นงานขึ้นเยอะ แต่ในที่สุดแล้วการขึ้นภาษีจริงอาจจะเกิดภายหลังจากมีการเจรจา คือเหมือนกับว่าตั้งแง่ในการเจรจาให้เข้มเอาไว้ก่อน แล้วพอตั้งแง่ไปแล้วถ้าหากว่าทางฝ่ายตรงข้ามยินยอมอ่อนข้อลงมาจนกระทั่งในที่สุดทรัมป์ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็อาจจะยอม ไม่ตั้งกำแพงภาษีระดับที่สูงอย่างที่เขาขู่เอาไว้
ลักษณะของการเมืองระหว่างประเทศของทรัมป์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Transactional คือเป็นการเจรจาต่อรองเป็นคู่ๆ มองในแง่นี้ก็ยังไม่แน่ว่าประเทศต่างๆ นั้นจะยอมกับทรัมป์แบบยอมโดยดี ไม่มีการต่อรอง หรือจะมีการวางหมากเพื่อจะสู้แล้วทำให้การเดินเกมของทรัมป์เกิดขึ้นได้ยาก อย่างกรณีจีนเวลานี้เขารู้อยู่ว่าเป็นเป้า แล้วทรัมป์พูดตัวเลขออกมามันเป็นตัวเลขที่สูงไปอาจจะประมาณ 60% สำหรับกำแพงภาษี แต่ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง จีนเขาก็ปล่อยหมัดแย็บ หมัดสำคัญเขาออกมา คือเขาสั่งคุมการส่งออกพวกวัสดุพวกแร่ธาตุ เป็นแร่ธาตุที่จีนควบคุมการถลุงการผลิตอยู่ในเวลานี้ซึ่งมีแร่ธาตุที่สำคัญที่ใช้ทั้งในการติดคอมพิวเตอร์ชิปและเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นจะต้องใช้ในการผลิตพวกยุทโธปกรณ์ เพราะแร่ธาตุนี้เป็นตัวเพิ่มความแข็งให้กับโลหะทำให้โลหะสามารถทนความร้อนสูงเป็นพิเศษได้ เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ด้านนอกอย่างดาวเทียมอย่างนี้ ถ้าจะขึ้นไปให้ได้จะต้องใช้ตัวแร่ธาตุเหล่านี้ ขณะนี้จีนเขาประกาศควบคุมแร่ตัวนี้แล้ว ส่วนการที่ทางสหรัฐประกาศตั้งเป้าไปที่บริษัทจีนโดยมีการประกาศรายชื่อ จีนก็ประกาศเป็นครั้งแรกเหมือนกันว่าบริษัทของสหรัฐ 28 บริษัทจะอยู่ในเป้าของจีนเขาเหมือนกัน
สรุปแล้วจีนเห็นหมากของทรัมป์ที่จะมาแรงจีนก็สวนกลับไปก่อน ตรงนี้เรียกว่าเป็นหมัดสำคัญของจีนแล้วก็อาจจะได้ผล เพราะเท่าที่ดูปรากฏว่าล่าสุดทรัมป์ก็เผยแพร่ใน Twitter บอกว่าเขาเชิญ สี จิ้นผิง มาแล้วไม่มา แต่เขาก็ใช้วิธีโทรศัพท์คุยกับสี จิ้นผิง โดยตรง ปรากฏว่าเขาก็บอกว่าคุยกันแล้วออกมาดี แล้วเขา 2 คนก็จะช่วยกันหาทางทำให้โลกมีสันติ พูดง่ายๆ ฟังดูแล้วเหมือนว่าการเดินหมากของจีนอาจจะได้ผล แล้วทำให้มีดดาบของทรัมป์ที่จะฟันเข้าไปที่จีนเกิดด้านขึ้นมา อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้
ในเชิงของตลาดหุ้น จะมีผลอย่างไรบ้างทั้งตลาดโลกและอเมริกา
หุ้นในตลาดสหรัฐ ผมเคยวิเคราะห์ไว้ว่ามีปัญหาความเสี่ยงในปีนี้ โดยเฉพาะในไตรมาส 1-2 มีความเสี่ยงสูงมาก ตอนนั้นผมมองในแง่ของสภาพคล่องในตลาดสหรัฐว่ามีสภาพคล่องสูงเพราะเฟดมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในช่วงโควิด หลังจากนั้นแทนที่จะดูดกลับ ก็ไม่ดูด กลายเป็นว่าปล่อยให้เงินค้างอยู่ในตลาด แล้วก็ไปเปิดเหมือนกับว่าให้เงินมาหาประโยชน์ที่เฟดได้ คือเปิดในตลาดที่เขาเรียก Reverse Repo ที่แบงก์เอาเงินกลับไปฝากเฟดในตลาด Reverse epo สูงลิบลิ่ว เขาก็ค้างเอาไว้เพราะหวังว่าวันหนึ่งแบงก์จะเอาเงินตรงนี้ไปปล่อยสินเชื่อ เพราะตอนนั้นสิ่งที่เขากังวลคือการปล่อยสินเชื่อจะต่ำแล้วในที่สุดจะเกิดปัญหาเงินจะฝืด
พอหลังจากนั้นทาง เจเน็ต เยลเลน เปลี่ยนวิธีในการกู้หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐ โดยปีที่แล้วตลอดทั้งปีเขาเปลี่ยนเทคนิคในการกู้จากเดิม การกู้โดยปกติจะมีสัดส่วนเหมือนกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วเงินคลังไม่มาก แล้วที่เหลือจะต้องออกเป็นพันธบัตรระยะยาว พันธบัตร 10 ปี 20 ปี 30 ปี อะไรอย่างนี้ ปรากฏว่า เจเน็ต เยลเลน ไปใช้วิธีออกตั๋วเงินคลังเพื่อที่จะให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวไม่กระเพื่อมขึ้น พูดง่ายๆ คือถ้าเขากู้ตามปกติเขาต้องมีการออกพันธบัตร 10 ปี จำนวนหนึ่ง พอเข้าไปกู้ตั๋วเงินคลังแทน พันธบัตร 10 ปีที่จะกู้ก็น้อยลง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าแรงกดดันดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีที่จะให้สูงขึ้นก็น้อยลง เขาไม่ต้องการให้ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปี ขึ้นไปรบกวนตลาดหุ้น อันนี้คือเป็นช่วงที่ไบเดนเป็นประธานาธิบดีก่อนเลือกตั้งล่าสุด
พอมาปีนี้ผมก็ดูตั้งแต่การที่จะไปกู้โดยการกู้แบบสั้นๆ สั้นมากๆ เลย ถึงเวลาก็ Roll Over อยู่ตลอด อย่างนี้ในแง่ของการบริหารการคลังมันไม่ถูกต้อง ผมก็ยังสงสัยว่ารัฐบาลใหม่ของทรัมป์เขาจะยังเดินหน้าแบบเดียวกับ เจเน็ต เยลเลน ไหม ปรากฏว่ารัฐมนตรีคลังคนใหม่ สก็อตต์ เบสเซนต์ ออกมาพูดชัดเจนว่าเขาจะไม่ทำแบบเยลเลน เขาบอกว่าเยลเลนทำแบบนี้มันเหมือนว่าขี้โกง ตุกติกนิดหน่อย ทำออกมาเพื่อจะสนับสนุนตลาดหุ้นเป็นหลัก แต่เขาจะกลับไปกู้ในสัดส่วนตั๋วเงินคลังระยะสั้นกับพันธบัตรระยะยาวที่จะกลับไปเป็นปกติ ออกแนวนี้ต่อไปพอเขาเริ่มหันไปเพิ่มการกู้ย้ายจากตั๋วเงินคลังระยะสั้นไปเป็นพันธบัตร 10 ปี ผลตอบแทนก็ต้องสูงขึ้น อันนี้ผมดูเป็นปัญหาที่หนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีปัญหาที่ 2 ในเรื่องของตลาดหุ้นของสหรัฐหุ้นที่แบกภาระในแง่ของตัวกำไรต่อหุ้นทั้งตลาดเอามาเฉลี่ยที่ออกมาได้ ตัวที่เป็นตัวแบกน้ำหนักหลัก คือหุ้นที่เขาเรียก 7 นางฟ้าหรือ 7 บริษัทที่ทำธุรกิจ Super High Tech แล้วในช่วงปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้กำไรพุ่งกระฉูด บูมขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรง สาเหตุหลักคือตัว AI การใช้ AI ทำให้ที่ผ่านมาคนที่ใช้แฮปปี้มาก สมัยก่อนเวลาจะค้นอะไรผมก็เข้าไปใน Google เดี๋ยวนี้จะค้นอะไรผมเข้าไปใน Chat ดีกว่า พอเราตั้งคำถามไปแล้วมันไปค้นให้เราเสร็จเลย แล้วมาเรียบเรียงให้เราเสร็จเรียบร้อยเลย เพราะฉะนั้นเห็นชัดเลยว่าต่อไป AI จะต้องไปในทุกเรื่องทุกราวที่มีการใช้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต แต่ขณะเดียวกันพอมาฟังคนที่วิเคราะห์ประกอบแล้วเขาบอกจากเดิมพวก 6 นางฟ้าที่ซื้อชิปจาก NVIDIA แล้วเอาไปทำ AI จากเดิมที่ให้บริการบางอย่างแล้ว เรียกว่าไม่คิดค่าบริการ ถึงแม้จะเอา AI เข้ามาประกอบ โอกาสที่จะคิดค่าบริการสำหรับชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่ง่าย กลายเป็นว่าการลงทุนของ 6 นางฟ้า ใน AI มีแต่ Outflow ส่วนโอกาสที่จะ Info เข้ามาเป็นตัวที่จะทำให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นมายังไม่แน่ชัด เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ถ้าตัวเลขออกมาว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัท 6 นางฟ้าไม่สามารถยืนได้แน่นเหมือนที่คนตั้งความหวังไว้ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ในตลาดหุ้นของสหรัฐได้
หุ้น 6 นางฟ้า 7 นางฟ้า อาจจะไม่สวยเหมือนเดิมแล้ว
หมายความว่าเวลานี้ 6 นางฟ้าและ 7 นางฟ้า ต้องแบกภาระในเรื่องความคาดหวังของตลาดหุ้นสหรัฐว่าจะบูมในอนาคตเอาไว้มากเกินไปจนมันไม่ได้กระจายความเสี่ยงนี้ออกมาเลย เพราะฉะนั้นถ้าเกิดความผิดหวังในขบวนการการลงทุนในเรื่อง AI คือจากเดิมเติมตั้งความหวังเอาไว้ 1,000 แต่ผลออกมาแค่ 500 ก็จะยุ่งแล้ว
มองว่าตลาดหุ้นอเมริกาก็มีจุดที่ต้องระวังเหมือนกันใช่ไหม
ถูกต้องผมว่าตลาดหุ้นในสหรัฐเวลานี้มีความเสี่ยงค่อนข้างจะสูงมากทั้งหมดเลย
นโยบายของทรัมป์กับทีมเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลังจะไปในทางเดียวกันไหมในการที่จะประคองตลาดหุ้น เพราะตลาดหุ้นก็เป็นหน้าตาของรัฐบาลเหมือนกัน ของทรัมป์ ถ้าเกิดว่าเขามาทำอะไรที่แตกต่าง เช่น เรื่องของพันธบัตรต่างๆ ที่เขาจะสวนทางกับ เจเน็ต เยลเลน จะมีผลอย่างไร
ผมกำลังเดา คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าตลาดหุ้นบูมไปได้เรื่อยๆ สำหรับทรัมป์เขาก็จะถือเป็นผลงานเขาเลย จะฉวยโอกาสว่าเป็นเพราะไอเดียของเขา เป็นเพราะมาตรการของเขา คนเชื่อมั่นในตัวเขาเลยทำให้มีการซื้อขายหุ้น ทำให้ตลาดบูม เขาก็จะอ้างแบบนี้ แต่ผมกำลังเดาว่าตัวรัฐมนตรีคลังคนใหม่เขามองออกว่าถ้าเขากลับไปใช้กระบวนการที่ถูกต้อง คือสัดส่วนการกู้ที่เป็นพันธบัตรกับตั๋วการคลังที่ถูกต้องเมื่อไหร่ ดอกเบี้ย 10 ปีมันจะเอาไม่อยู่ มันจะต้องขึ้นไป อาจจะทะลุ 5% แล้วพอดอกเบี้ยทะลุ 5% หุ้น 7 นางฟ้าก็ไปไม่รอดเพราะว่าหุ้นพวกนี้เวลานี้ตัว P/E ratio มันสูง หมายความว่าการตีราคาหุ้นโดยอาศัยอัตราแล้วดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ถ้าเกิดอัตราดอกเบี้ยเอามาตีราคา Cash Flow ในอนาคต อัตราดอกเบี้ยกระโดดสูงขึ้นมาเมื่อไหร่ ราคาหุ้นมันก็ต้องลดลง
ผมยังจำตัวเลขหุ้นของ NVIDIA ราคาหุ้นเทียบกับยอดขาย ยอดขายของเขาในปีล่าสุดถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิดมันเกือบๆ 30 หมายความว่าถ้า NVIDIA ต้องเอายอดขายกี่ปีรวมกันแล้วถึงจะได้เท่ากับราคาหุ้น คือต้องเอายอดขาย 30 ปีมารวมกันถึงจะได้เท่ากับราคาหุ้น อันนี้เราไม่ได้พูดถึงกำไร กำไรอาจจะเป็น 100 ปีเลย
เพราะฉะนั้นเวลานี้ผมเดาว่าตัวรัฐมนตรีคลังคนใหม่คงมองออกว่าตลาดหุ้นจะไปไม่รอด ยิ่งพอเขาปรับสัดส่วนการกู้ออกมาให้มันถูกต้องแล้วมันจะยิ่งไปไม่รอดใหญ่ ถ้าผมเป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่แล้วถ้าผมเป็นทรัมป์ ผมรู้อย่างนี้ผมก็จะปล่อยให้หุ้นปรับตัวลงมาก่อน เพราะการปรับตัวของตลาดถ้าเกิดขึ้นเร็วในช่วงของทรัมป์มันก็ชัดเจนว่าปัญหาสะสมมาตั้งแต่สมัยไบเดน ผมคิดว่าตรงนี้เราต้องคอยตามให้ดีว่าเขาจะออกแนวไหน แต่สมมุติว่าเกิดเขาจะตัดสินใจว่าไบเดนไปทำให้มันเกิดฟองสบู่แล้วก็เอาจริงๆ ก็จะยืนอยู่ยากแบบนี้แล้ว เขาจะพยายามฝืนเพื่อที่จะประคองให้ไปรอดต่อไป ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันจะไปได้หรือไม่
ด้วยภาพอย่างนี้กระแสทุนของโลกก็คงจะต้องไหลออกจากอเมริกา
ใช่ ถ้าตลาดหุ้นลงลง คือถ้าเมื่อไหร่ถึงเวลาบอกตลาดหุ้นอเมริกาไม่ไหวแล้วก็ปรับตัว เงินทุนก็ต้องไหลออกก็เป็นธรรมดา
ถ้าเป็นอย่างนี้ มองว่าเงินน่าจะไปกองอยู่ตรงไหนมากที่สุด เช่น ในตราสาร ทองคำ คริปโท
ผมว่าขึ้นอยู่กับการปรับตัวของของธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ต้องดูให้สัมพันธ์กัน ผมกำลังเดาว่าในปีนี้ธนาคารกลางญี่ปุ่นคงจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยสักที เพราะเงินเฟ้อหนักมากแล้ว ค่าเงินเยนก็อ่อนซึ่งจนไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อก็จะเอาไม่อยู่แล้ว ซึ่งกระทบพวกคนที่มีรายได้ตายตัวในญี่ปุ่นมาก ผมเลยเดาว่าภายในปีนี้คงเห็นอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นสูงขึ้น พออัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นสูงขึ้นเงินก็ไหลเข้าญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็จะเป็นแหล่งหนึ่งที่เงินทุนไหลเข้า แล้วถ้าหากว่าเงินไหลออกจากสหรัฐ ค่าดอลลาร์ลงแน่นอน ทรัพย์สินอะไรที่มั่นคงที่ตีราคาแล้วผันผวนกับดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นทองคํา คริปโท อสังหาริมทรัพย์ พวกนี้ก็จะดีขึ้น
แต่ตอนนี้ก็ต้องเดาอีก ผมเดาว่าถ้าเกิดตลาดหุ้นอเมริกาลง ถ้าลงนิดๆ หน่อยๆ ถ้าปรับลงแค่ 10-20% ก็จะเป็นแค่ปัญหาชั่วคราว ทางเฟดคงไม่เปลี่ยนท่าที คงไม่เปลี่ยนจุดยืน แต่ที่ผมคิดว่าน่าติดตามมากกว่า ถ้าหากว่าตลาดหุ้นอเมริกาเกิดลงแบบใหญ่ อย่างสมมุติ 30-40% แล้วลงแบบฉับพลัน อาจจะเป็นได้ว่าจะเกิดแรงกระเพื่อมซึ่งก่อความเสี่ยงให้แก่ระบบแบงก์ ระบบสถาบันการเงินมากจนเฟดอาจจะต้องเปลี่ยนท่าที ถึงตอนนั้นอาจจะกลับมา QE แต่ผมว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เราจะเห็นหลังจากผ่านกลางปีไปแล้ว
แสดงว่าการจะบริหารเศรษฐกิจของไทยปี 68 ไม่ว่าจะเป็นการเงินการคลังหรือการทำธุรกิจของภาคเอกชนเป็นเรื่องที่ยากเอาการเลย
คือมันยากในแง่ของการตั้งกำแพงภาษี ไทยเป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ จากอันดับ 1 ลงไปเรื่อยๆ ไทยอยู่อันดับ 10 สมัยก่อนอยู่อันดับ 11-12 ตอนนี้มาเป็นอันดับ 10 แล้ว เพราะฉะนั้นเรียกว่าอยู่ในเส้นทางปืน เส้นทางแนวกระสุนชัดเจน อยู่ที่ว่าทางสหรัฐเขาจะตั้งแง่ตั้งงอนกับเราแค่ไหนอย่างไร ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึง แต่เราจะอยู่ในฐานะที่จะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสงครามการค้าอยู่บ้างในแง่ที่ว่าจะมีบริษัทที่ย้ายฐานอุตสาหกรรมออกจากจีนมากพอควร ตอนนี้เราเริ่มมองเห็นแล้วว่าพวกญี่ปุ่นก็ดี ไต้หวันก็ดี เกาหลีก็ดี หลายๆ สัญชาติที่ลงทุนอยู่ในจีน เวลานี้เริ่มย้ายออกมา ก็มาประเทศอาเซียน พอมาอาเซียน ไทยก็ได้อานิสงส์อยู่พอควร ตัวเลขมูลค่าการยื่นขอ BOI ถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิดปีที่แล้ว 9 เดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปี เพราะฉะนั้นเวลานี้คือมีโอกาสที่เราจะเปิดประเทศและรับการย้ายฐานอุตสาหกรรม ตรงนี้ไทยจะได้ประโยชน์ แต่ในแง่ของการส่งออกเองอาจจะเหนื่อยหน่อย เราก็ต้องเตรียมพร้อม
การท่องเที่ยวก็กําลังลําบาก แล้วยังมาเจอเรื่องดาราจีนถูกแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกไปอีก
การท่องเที่ยวขณะนี้บางส่วนนี้มันหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนที่มันเกิดปัญหาคนถูกทำร้าย อีกส่วนหนึ่งคือตลาดจีนผมว่าเวลานี้ที่กำลังเริ่มง่อนแง่นเพราะยังมีปัญหาเรื่องธุรกิจ ปัญหาที่ยังเคลียร์ไม่จบ แล้วต้องใช้เวลาในการเคลียร์อีกพักหนึ่ง ผมเชื่อว่าจีนตอนนี้เขาก็เกร็ง เขาก็กังวลว่าการที่สหรัฐ การที่ทรัมป์จะมาตั้งกำแพงภาษี มันจะออกหัวออกก้อยแค่ไหน ผมว่าจีนวันนี้ก็ยังตั้งการ์ดมาก ยังระวังกันอยู่
จะเห็นว่ารัฐบาลไทยก็พยายามทํานู่นทํานี่หลายอย่างที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรต่างๆ มองว่าถึงที่สุดแล้วการกระตุ้นจะมากพอไหม GDP เราจะไปถึง 3% ไหม
รัฐบาลขณะนี้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้วิธีตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แจกเงินไปเพื่อกระตุ้นให้มีการกินการใช้อุปโภคบริโภค ผมดูแล้วมันไม่ใช่วิธีการแก้ไขที่ถูกต้อง ขณะนี้โจทย์มันมีหลายอย่าง โจทย์ในเรื่องที่จะต้องทำให้เรามีความพร้อมในการที่จะรับการย้ายฐานอุตสาหกรรมจากจีน ซึ่งยังไม่เห็นทำอะไรเลย มันต้องเร่งให้มีทักษะแรงงานที่สูงขึ้น การที่จะจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมต้องเคลียร์ให้เร็วขึ้น การจัดระบบน้ำต้องดี เวลานี้ไฟเรามีพอแล้ว ไม่มีปัญหา แต่ระบบน้ำ ระบบการติดต่อการขนส่ง การทำรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมไทยไปจีนก็ช้ามาก ตรงนี้ทำให้กระบวนการไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่
ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ความหวังที่จะเห็นกระแสการลงทุน เม็ดเงินลงทุนทั้งทางตรงทั้งเข้ามาในตลาดทุน ตลาดหุ้น ในปีนี้ก็คงจะยาก กำลังซื้อในตลาดหุ้นก็ยาก ตลาดหุ้นไทยคงจะกู่ไม่กลับแล้วใช่ไหม ถ้าดูดัชนีก็ลงไป 4% แล้ว ทำท่าจะหลุด 1,300 ด้วย มองตลาดหุ้นอย่างไร
ผมไม่ชำนาญตลาดหุ้น ถ้าผมวิเคราะห์ไปเดี๋ยวคนฟังผมอาจจะเข้าป่าไป แต่ผมมองอย่างนี้ว่าความน่าสนใจของตลาดหุ้นที่วันก่อนผมฟังคุณทอมเขาวิเคราะห์ว่าปัญหาของตลาดหุ้นไทย ตัวหุ้นดัง หุ้นดารา ส่วนใหญ่มันคล้ายๆ เดิม ย้อนไป 20-30 ปี มันยังคล้ายๆ เดิม มันก็จะเป็นตัวเดิมๆ ไม่เหมือนตลาดหุ้นสหรัฐที่พรวดพราดขึ้นมาเป็น NVIDIA หรือเป็นอะไรแปลกๆ เป็นเพราะเราไม่ได้กระตุ้นให้คนไทยมีความคิดในเรื่องนวัตกรรม ในเรื่องพลิกแพลง ในเรื่องทำอะไรใหม่แปลกเท่าที่ควร ตรงนี้ก็สะท้อนออกมาว่าเราไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ล่าสุดเราไปดูที่เขาทำข้อมูลออกมาว่าธุรกิจเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ AI ในเอเชียมีที่ไหนบ้าง เท่าที่ดูผมยังมองไปเห็นว่าไทยจะมีอะไรใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI บ้างเลย แต่เวลานี้จะเห็นบริษัทในสิงคโปร์ ในอินโดนีเซีย ในเวียดนาม ดีอีกแล้ว ขณะที่ไทยเรามันเหมือนคนขาดความรู้
ที่นายกฯ ทักษิณขึ้นเวทีบอกว่าตลาดหุ้นไทยเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น เมื่อขาดความเชื่อมั่นแล้วบริษัทจดทะเบียนก็มีปัญหา แล้ว Action ของหน่วยงานกำกับอย่าง ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ช้า มองเรื่องนี้อย่างไร
คือ Action ของตลาดแล้ว ก.ล.ต. ในเรื่องของธรรมาภิบาลผมคิดว่าที่ผ่านมาถูกตำหนิว่าล่าช้า ไม่ทันเกม ไม่ทันกาล แล้วการลงโทษไม่ได้เกิดขึ้นทันใจ ผมไม่ได้ติดตามเรื่องธรรมาภิบาลของตลาดทุนซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ผมให้ความสนใจตอนผมเข้าไปเป็นเลขาก.ล.ต. ตอนนั้นในแง่ของการจัดอันดับในเรื่องของ Corporate Governance ของตลาดทุนในเอเชียตอนที่ผมเข้าไปไทยอยู่อันดับ 6 ตอนผมอยู่ผมเข้มข้นเรื่องนี้มากจนขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แต่หลังจากนั้นผมไม่แน่ใจว่ามันร่วงลงไปตรงไหน ขณะนี้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องบริษัทต่างๆ ที่ออกมาทำให้ภาพพจน์ในเรื่องนี้มันอ่อน แต่ส่วนจะทำให้มันมีความน่าสนใจโดยวิธีเอา Super Project Mega Project เข้าไปในตลาด ไม่ว่าจะเป็น Entertainment Complex ผมว่ามันไม่ได้ช่วย ตัวที่จะช่วยจริงๆ คือต้องกระตุ้นให้คนของเรามีแนวคิดในเรื่องของการทำอะไรที่มันคิดนอกกรอบ แหวกแนวคิดในลักษณะที่มีวิธีการมองที่ไม่เหมือนใครอะไรต่างๆ ให้มากขึ้น ตรงนี้จะเป็นทางรอดทางเดียวของตลาดหุ้นเรา
อย่าคิดจะมาทำกองทุนวายุภักษ์อะไรต่างๆ
ผมว่าผิดกฎหมายด้วย กองทุนวายุภักษ์ที่เอากำไรสะสมที่มีอยู่แล้ว ทรัพย์สินที่มีอยู่แล้ว เอาไปใช้ในการประกันผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนใหม่แล้วก็เอาไปรองรับให้ผู้ลงทุนไม่ต้องขาดทุน ผมว่าผิดกฎหมาย เพราะเป็นการเอาเงินแผ่นดินไปใช้โดยไม่ผ่านกระบวนการงบประมาณ ไม่ผ่านกระบวนการรัฐสภา การทำแบบนี้เป็นการแก้เหมือนคนที่ดูผิวเผินกับข้างนอกไม่เข้าใจ เป็นการทำอะไรแบบฟู่ฟ่า ใช้กลไกตลาดทุนที่เขานึกไม่ถึง แต่จริงๆ ไม่ได้แก้ปัญหาที่พื้นฐาน
แนวคิดอีกอย่างหนึ่งที่บอกว่าจะเติมเรื่องของคริปโทเข้ามาตลาด รวมทั้งมีการคิดทำตัว Sandbox ที่ภูเก็ต ตุลาคมนี้ จะช่วยไหม
คือการทำให้เรามีการใช้ Digital เศรษฐกิจดิจิทัลเข้ามามากขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น อันนี้เป็นเรื่องที่ดีจะไปทำ Sandbox ก็ตามสบาย แต่จุดสำคัญคือตรงนี้อย่าเอาไปสับสนกับแผนการที่จะไปแจก Digital Wallet เพราะอันนั้นไม่ได้ทำให้เราขึ้นชั้นในเรื่องดิจิทัลอะไรเลย มันดิจิทัลแต่ชื่อ ไม่ได้ดิจิทัลของจริงอะไรเลย เพราะฉะนั้นในส่วนนี้มีความจำเป็นที่เราต้องทำอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล แต่ที่ผมดูไม่แน่ใจว่าเขาไปถูกทางหรือไม่เพราะว่าการไปออก ETF แล้วเอา Bitcoin มา มันอยู่ในต่างประเทศ เขาทำงานได้อยู่แล้ว เอามาในประเทศไทยไม่แน่ใจว่าเพื่อจะสอนให้ชาวบ้านมีความเข้าใจในเรื่องตัว Bitcoin มันจำเป็นไหม จริงๆ อาจจำเป็นมากกว่าในการเอาเทคโนโลยี Digital พวก AI อะไรมาสอนให้เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันนี้มากกว่า คือเราไม่ได้มีคนที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ มากพอที่จะไปคิดอะไรใหม่ๆ ในเรื่อง AI แต่เราเอา AI ที่เขามีกันอยู่แล้วเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ในส่วนที่จะเป็นการเพิ่มมูลค่าสิ่งที่เราลดต้นทุนอะไรต่างๆ ตรงนี้ผมว่าควรจะไปอย่างนั้นมากกว่า
ในเรื่องการเปิดกาสิโนที่บอกว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เยอะ แต่ขณะเดียวกันก็จะเปลี่ยนสังคม เปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีของไทยไปหมดเลยหรือไม่
ผมดูอาจารย์สังศิตท่านเขียนเอาไว้น่าสนใจ ท่านบอกว่ารัฐบาลที่จะทำเรื่องนี้ ถ้าเป็นรัฐบาลที่ยังมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องของธรรมาภิบาล ยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการจัดระบบ ในเรื่องของความถูกต้อง ในเรื่องของระบบยุติธรรม ซึ่งยังมีคำถามอยู่อย่างนี้ ตราบใดที่ยังมีลักษณะอย่างนี้อยู่ ยิ่งมีโครงการแบบนี้คนยิ่งกังวลสงสัยว่าจะกลายเป็นโครงการเพื่อที่จะเน้นในเรื่องของการหาประโยชน์ให้กับพรรคการเมือง การหาประโยชน์ให้กับนายทุนและพรรคการเมือง หรือไม่ก็การหาประโยชน์ใต้โต๊ะ ซึ่งตรงนี้ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีความน่าเชื่อถือมั่นใจได้ก็จะดีกว่า แต่ถามว่าการลงทุนถ้ามีการอนุญาต แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ คือยกเว้นว่าเงินที่เข้ามาแล้วมาลงทุนในการก่อสร้างตรงนี้มันก็โอเค ทำให้มีความคึกคัก แต่ถ้าเดินหน้าไป แล้วมันไปเวียนอยู่เฉพาะในเรื่องของกาสิโนแต่ผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมันน้อย เพราะการจ้างงานมันไม่เยอะ แล้วในแง่ของท่องเที่ยวถ้าที่ผมดูคนที่มาท่องเที่ยวในไทยไม่ได้มาเพื่อจะมาเล่นการพนันเป็นหลัก จุดขายมันเน้นไปในเรื่องของธรรมชาติ ในเรื่องของวัฒนธรรม ในเรื่องของอาหาร มากกว่าที่จะเป็นเรื่องจุดขายเป็นเรื่องของกาสิโน เพราะฉะนั้นผมมองว่าถ้ามองเอากาสิโนเป็นหลักอันนี้ไม่ได้เรื่อง ขณะเดียวกันถ้ายังไม่เคลียร์ ในแง่ของภาพพจน์ธรรมาภิบาลของตัวรัฐบาลเองก็จะยิ่งแย่ใหญ่ มีกาสิโนที่ไหนคนก็จะกังวลที่นั่นหลายเรื่อง เรื่องที่หนึ่งเรื่องฟอกเงิน เรื่องที่สองเรื่องอิทธิพล เหมือนกับเจ้าพ่อที่จะเข้ามาครอบงำและเรื่องกิจการอะไรที่เกี่ยวข้องกับมาเฟีย ตรงนี้มันต้องหาทางที่จะเคลียร์ข้อกังวลตรงนี้ให้หมดจดเสียก่อน
Commentaires