top of page
image.png

นโยบายทรัมป์ป่วนโลกหนัก แนะผู้ส่งออกไทยเตรียมรับมือ 'สงครามราคา'




นโยบายทรัมป์ทำให้โลกการค้ายุ่งเหยิงสับสน ผู้ประกอบการไทยฝันร้ายแทบทุกวัน แนะผู้ส่งออกไทยเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ โดยดูการแก้ปัญหาของเม็กซิโก แคนาดา จีน ในการตอบโต้ทางการค้ากับอเมริกาเพื่อใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการแก้ปัญหา แต่เนื่องจากไทยเป็นประเทศเล็กๆ ไม่แข็งแรงมากพอที่จะท้าชนกับอเมริกาได้ซึ่งๆ หน้า จึงควรยึดหลักประนีประนอม ยอมในบางเรื่อง เช่นนำเข้าสินค้าจากอเมริกามากขึ้นเพื่อเป็นการซื้อใจ สำหรับปัญหาสงครามการค้าขณะนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว จึงเชื่อว่าผู้ส่งออกในแต่ละประเทศต้องดิ้นรนหนีตาย ท้ายที่สุดแล้วจะเกิดสงครามการแข่งขันด้านราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมแจงตัวเลขส่งออกของไทยไตรมาสแรกปี 68 ยังดีอยู่ คาดมีการเติบโตทั้งไตรมาสประมาณ 6-8% แต่นับจากไตรมาสที่ 2 ไปแล้วต้องดูว่านโยบายการค้าของอเมริกาจะกระทบไทยมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจากนี้ไปภาครัฐและเอกชนไทยต้องทำงานใกล้ชิดร่วมมือกัน เหมือนปาท่องโก๋ที่ต้องอยู่กันเป็นคู่ แยกกันไม่ได้เด็ดขาด

 

Interview : คุณชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย


ตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีมาตรการหลายๆ อย่างออกมา เรื่องนี้คนส่งออกปวดหัวขนาดไหน

           

ต้องบอกว่าไม่ใช่แค่พวกเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ก็ด้วย แต่ของเราเวลาต่างกันเยอะ ฉะนั้น ข่าวสารจากสหรัฐอเมริกา พอเราตื่นขึ้นมาก็เหมือนฝันร้ายทุกที ดังนั้น ก็เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก คือเราอยู่ในโลกที่มีความไม่แน่นอน ความยุ่งเหยิงสับสนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

จากนี้มีอะไรน่าห่วง

           

วันนี้แค่ 2 เดือนก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนแรกพวกเราก็นึกว่ามีแค่สหรัฐอเมริกากับจีนเหมือนยกแรก ที่ไหนได้ยกสองมีการฟาดงวงฟาดงาไปหมดเลย ทั้งเม็กซิโก แคนาดา อียู และอินเดีย เป็นต้น ดังนั้น เราคงประมาทไม่ได้ คือเราก็เกินดุลการค้าเขาจริง แต่ถามว่าสินค้าไหนเกินดุล มันมีสินค้าบางกลุ่มเท่านั้นที่เราส่งออกไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศมาด้วย แล้วก็ใช้ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกา รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ คงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะเราก็เกินดุลเขาจริงๆ และอยู่ในอันดับที่ 11 ประมาณ 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเยอะ

           

อย่างไรก็ตาม วันนี้คนไทยมีฝันแปลกๆ คือฝันร้ายทุกวัน คือสังเกตดูเราก็ขาดดุลในปริมาณใกล้เคียงกัน เพราะตัวเลขการขาดดุลกับจีนเราก็ขาดดุลเยอะ เรายังไม่เห็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในแง่ของที่จะขายอะไรไปจีนไหม หรือว่าเราจะป้องกันอย่างไรได้บ้าง ไทยอยู่ในจุดที่เรียกว่ามีข้อเสียเปรียบเยอะ ทั้งเกินดุลและขาดดุลการค้า

           

ต่อไปนี้ ได้เสนอให้ทุกคนดูทั้งการนำเข้าและส่งออก รายสินค้าสำคัญๆ แต่ละประเทศ เพื่อดูดุลการค้า เพราะเราก็เรียนรู้จากสหรัฐอเมริกา เขาก็ดูในลักษณะนำเข้าส่งออกแต่ละรายสินค้าและแต่ละประเทศด้วย

 

มีข่าวว่าทรัมป์บอกจะขึ้นค่าธรรมเนียมเรือสินค้าจีน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข่าวนี้เท็จจริงอย่างไร

           

อย่างที่ตอนแรกเรานึกว่าเป็นการตั้งกำแพงภาษีสินค้ารายประเทศ แต่ตอนนี้เจอวิกฤตที่สอง คือเรื่องของรายสินค้าด้วย และคราวนี้เข้ามาสู่ภาคบริการด้วยคือพวกการเดินเรือระหว่างประเทศ ก็พอได้ข่าวมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่แปลกมาก เรียกว่าเขามีการใช้ข้อมูล ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าในช่วงที่ผ่านมาเรือสินค้ามากกว่า 80% ของโลกนี้มีการต่อที่จีน ในเรื่องซัพพลายเชนของเขา รวมถึงเรื่องของราคา และตู้คอนเทนเนอร์ต่างๆ ก็ผลิตที่จีน ด้วยความได้เปรียบเรื่องของราคา และซัพพลายเชน ทุกอย่างครบ

           

เรื่องนี้เลยกลายเป็นสิ่งที่ทางสหรัฐอเมริกาอาจจะเพ่งเล็งอยู่ แต่ตรงนี้ยังอยู่ในช่วงการศึกษา แต่เราก็มองว่าถ้าเขาเริ่มกระบวนการอะไร จะเกิดเรื่อง 2 อย่างคือ 1.เวลาเราส่งสินค้าจากไทยไปสหรัฐอเมริกา เวลาไปถึงท่าเรือสหรัฐอเมริกา ก็จะต้องเสียค่าเซอร์ชาร์จขึ้นมา ซึ่งของไทยส่วนใหญ่แล้วลูกค้าอิมพอร์ตเตอร์ในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จ่ายค่าระวางเรือ แต่อย่าลืมการค้าไม่ใช่แค่ผู้ซื้อผู้ขายเขาเจรจากัน เขาอาจจะรับทั้งหมด หรือเขาอาจจะบอกว่าประเทศผู้ส่งออกก็ต้องช่วยด้วย

           

ส่วนเรื่องที่ 2 ถ้าจะมีการเก็บเงินของเซอร์ชาร์จขึ้นมา ฉะนั้นในแต่ละพอร์ตเขาอาจไม่เข้าทุกท่าเรือก็ได้ อาจเข้าบางท่าก็ได้ ตรงนี้อาจจะทำให้เรื่องของระยะเวลาการรอคอยของเรืออาจจะนานขึ้น

           

ตรงนี้เดี๋ยวเรารอความชัดเจนอะไรมากขึ้นก่อน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้โดนหลายมิติแล้ว ปัจจุบันเรือทุกสายส่วนใหญ่ใช้เรือที่ทำจากจีน ส่วนที่ทำมาจากยุโรปกับเกาหลีใต้ ยังเป็นส่วนน้อย

 

สหรัฐมีการประกาศว่าจะเข้าไปเทกโอเวอร์คลองปานามาคืนมา รวมทั้งบอกจะลุยท่าเรืออื่นๆ ใน 23 ประเทศทั่วโลก เรื่องนี้น่ากลัวหรือไม่

           

คือสงครามการค้า ถ้าตอนนี้คือใครเจรจาได้ก่อนก็โอเค ฉะนั้น สิ่งที่ทางสหรัฐอเมริกาประกาศแต่ละวันคือสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนการเจรจาจะเป็นอย่างไรเจรจากันได้ คือบางทีบอกเก็บทุกสินค้า เม็กซิโก แคนาดา พอมาวันหนึ่งบอกเก็บบางตัว ขณะที่บางตัวเลื่อนไปก่อน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ถ้าถามว่าเรื่องคลองปานามามีความเป็นไปได้หรือไม่ ก็คือมีความเป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือว่าเราก็ต้องปรับตัว เราก็ต้องติดตาม เราก็ต้องดูว่าความเสี่ยงตัวนี้ว่าเราจะป้องกันตัวเราเองอย่างไร

           

ส่วนตัวมองอย่างนี้ว่าในท้ายที่สุด สงครามการค้าครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงการชะลอตัว ดังนั้น เราอยู่ในช่วงของความไม่แข็งแรง คือทุกคนก็ต้องพยายามที่จะหาทางรอดตายเพราะความต้องการสินค้าลดลงทั่วโลก ฉะนั้น ผู้ผลิตก็ต้องพยายามรักษาเอาตัวรอด เขาก็ต้องสู้ ซึ่งสิ่งที่เขาสู้ได้ก็คือในท้ายที่สุดเรื่องสงครามราคาก็ต้องเกิดขึ้น คือทุกคนก็อยากเอาชีวิตรอด จึงเลี่ยงยากในเรื่องการแข่งขันด้านราคา

 

มีคนบอกว่าที่เราเกินดุลสหรัฐอเมริกาถือว่าไม่เยอะ เพราะสินค้าที่เป็นของบริษัทสหรัฐอเมริกาที่ร่วมทุนก็ดีหรือเข้ามาเป็นซัพพลายเชนในไทย ผลิตและส่งกลับไปสหรัฐอเมริกา ก็มีมากพอสมควรใช่หรือไม่

           

ใช่ แต่แบ่งออกเป็นหลายส่วน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือผู้ผลิตขอเรียกว่า Non-Chinese ที่ไม่ใช่คนจีน อีกส่วนก็คือผู้ผลิตที่มาจากจีน ฉะนั้นก็จะมีสัดส่วนการผสมอยู่ คือมีทั้ง 2 องค์ประกอบนี้ในการส่งออก ดังนั้น ก็ต้องดูอย่างล้อรถยนต์ แน่นอนมีทั้งผู้ผลิตที่เป็นนักลงทุนจากจีน อีกส่วนเป็นนักลงทุนที่ไม่ใช่ชาวจีนที่ตั้งโรงงานอยู่แล้ว สัดส่วนตอนนี้ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ส่งออกที่ย้ายฐานการผลิตมาจากที่เป็นนักลงทุนจากจีนถือหุ้นส่วนใหญ่ สรุปคือมีองค์ประกอบทั้ง 2 ส่วน

           

แต่ตรงนี้ต้องดูว่าคนที่เขาโดนก่อนในยกแรกคือเม็กซิโก แคนาดา และจีน เขาใช้กลยุทธ์อะไรที่สามารถตอบโต้สหรัฐได้ เราก็ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ รูปแบบกลยุทธ์ที่เขาใช้ แล้วเราอาจนำมาประยุกต์ใช้กับวิถีผู้ส่งออกการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาในอนาคต

 

ไทยควรจะต่อรองเขาอย่างไรดี หรือเราจะตั้งกำแพงภาษีตอบโต้แบบเม็กซิโก แคนาดา และจีนได้ไหม

           

เราน่าจะใช้หลักคิดในแง่ Soft Approach คือลักษณะของผู้ประกอบการไทยหรือคนไทยเราส่วนใหญ่จะประนีประนอมในแง่ของอะลุ่มอล่วยกันมากกว่า คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ เพราะไทยไม่อยู่ในสถานะที่แข็งแรง อย่าลืมเราต้องวางตัวอย่างที่เคยเป็นมาบอกว่าเราเกินดุลต่อสหรัฐอเมริกา และเราขาดดุลกับจีนเยอะมาก ดังนั้น 2 ผู้เล่นรายใหญ่ของโลก คือ 1. กับ 2. เราโดน 2 เด้งเลย ฉะนั้น เราควรจะทำอะไร เราต้องคิดให้รอบคอบ และวางตัวเป็นกลาง จะปลอดภัยสุด

           

ประการต่อมา สินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาเราก็ต้องดู กลุ่มแรกคือกลุ่มของน้ำมัน ก๊าซ หรือแม้แต่ที่เพิ่งออกข่าวไปคืออีเทนที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา อันนั้นจะทำให้เห็นว่าเรามีความจริงใจที่อยากขยายการค้าการลงทุน กับสหรัฐก็เป็นภาพที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องใช้เวลาในการที่จะเพิ่มสินค้านำเข้าจากสหรัฐ เพราะจะต้องเตรียมทั้งในเรื่องของราคาและคุณภาพ รวมถึงระบบโลจิสติกส์ตรงนี้สำคัญ ก็ต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยภาพมันออกมา ก็คือว่าเรายินดีและพร้อมที่จะเปิดในเรื่องของการค้าการลงทุนเพิ่ม มองว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่ดี

           

ส่วนในเรื่องของที่จะนำเข้า เรื่องสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ถั่วเหลือง มองว่าปริมาณมันไม่ค่อยเยอะ ประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าไม่เยอะเมื่อเปรียบเทียบกับการเกินดุลอยู่ที่ 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เรียกว่าไม่มาก ฉะนั้น ถ้าเราจะเพิ่ม เราก็ต้องตอบตัวเองว่า เราก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันกับการที่เราจะนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ที่มีอยู่ แล้ว และเราก็ต้องดูผลกระทบเรื่องนี้ ซึ่งสินค้าเกษตรจะเป็นอะไรที่อ่อนไหวมากๆ ต้องดูให้ดี ถือเป็นกลยุทธ์ที่เราคิดว่าต้องค่อยๆ ดูเพื่อไม่ให้เกิดผลทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรงส่วนใหญ่เราก็เห็นในระดับหนึ่ง ขณะที่ทางอ้อมเราต้องคิดให้เยอะๆ เพราะจะมีผลต่ออนาคตของพวกเรา

 

ผลกระทบมีแน่นอน แต่ผลที่เราจะได้ มีบ้างหรือไม่

           

มีข่าวหนึ่งคือสหรัฐอเมริกาประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าทางด้านรถยนต์จากอินเดีย ตรงนี้ดูแล้วเราก็เป็นผู้ผลิตทางด้านซัพพลายเชนของพวกรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใหญ่ ดังนั้น น่าจะเป็นโอกาส สมมุติว่าเขาต้องการรถยนต์มาทดแทน เพราะเรามีทั้งเครื่องยนต์สันดาป แล้วก็ในเรื่องของอีวีไฟฟ้า และซัพพลายเชนของเราน่าจะเหมาะ ซึ่งเราก็ต้องใช้เวลาในการปรับในเรื่องของโมเดลต่างๆ

           

นอกจากนี้ เราเห็นทางทรัมป์ เขาก็บอกเรื่องของ Climate Change เขาจะลดบทบาทลง ดังนั้น ในเรื่องเครื่องยนต์สันดาปอาจจะเป็นคำตอบในอนาคตสำหรับตลาดบางตลาด คือบางตลาดจะเป็นอีวี บางตลาดจะเป็นรถที่ใช้น้ำมัน ก็มองเห็นโอกาสตรงนี้อยู่

           

ขณะที่โอกาสต่อมาคือการย้ายฐานการผลิต แต่อย่าลืมประเด็นหนึ่งคือหากเรามองย้อนกลับหลัง จะเห็นว่าเราขาดดุลกับจีนเยอะ ทั้งในเรื่องของเครื่องจักร เรื่องของอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ ที่นำเข้ามาจากจีนเยอะ คำถามคือ แล้วทำไมไม่ใช้ของผู้ประกอบการในไทยบ้าง ประการต่อมา ทำไมวัตถุดิบ เอามาหมดเลย ทำไมผู้ประกอบการไทยไม่ได้อานิสงส์นี้เหมือนตอนที่เราเปิดรับเรื่องของยานยนต์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันไม่เหมือนกัน

           

ครั้งนี้ทำไมภาคการผลิตเราโดยเฉพาะเอสเอ็มอีหรือผู้ประกอบการไทยยังไม่ได้รับอานิสงส์เพิ่มเลย ในขณะที่ตัวเลขการส่งออกเพิ่ม และตัวเลขการนำเข้าเพิ่ม นั่นก็คือมาแล้วไปเลย อันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ Local Content มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเรา

           

ถัดมาก็คือเราก็ต้องมองว่า ถ้าเราจะให้เขามาลงทุน เราก็น่าจะเลือกเหมือนกัน เลือกการลงทุนที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับพวกเราในอนาคต อย่างเช่นศูนย์ไฮเทคโนโลยี ใช้แรงงานไทยให้เยอะหน่อย ที่เป็นแรงงานฝีมือ ก็จะเป็นโอกาสของพวกเรา ประเด็นใหญ่ๆ คืออุตสาหกรรมรถยนต์ที่อาจจะไปทดแทนได้บ้าง และเรื่องของการต้อนรับนักลงทุนใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดี แต่อยากให้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าอะไรที่เป็นข้อจำกัดและเราอยากจะปรับปรุง ถ้าเรามองภาพง่ายๆ ทำไมจีนเมื่อก่อนที่เขาเปิดตัวได้เร็ว ทุกคนก็ย้ายฐานผลิตไปหาเขา ซึ่งเขาก็เรียนรู้ แล้วเขาก็สร้างซัพพลายเชนของเขา สร้างห่วงโซ่อุปทานให้ครบวงจร ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องเลือกแล้วว่าเราต้องมีกฎระเบียบ หรือปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

การส่งออก 3 เดือนแรกของปี 2568 ดีไหม

           

ตัวเลขการส่งออกเยอะ ตราบใดที่เรายังไม่มีรายชื่ออยู่ในการประกาศ ก็ยังส่งออกได้ เพื่อไปทดแทนและไปเพิ่มในเรื่องของการส่งออกไปล่วงหน้า ดังนั้นไตรมาส 1 ก็คงอยู่ในระดับนี้ ซึ่งดูแล้วถ้าตัวเลขยังเป็นอย่างนี้ อาจจะทำให้การส่งออกของไทยในไตรมาส 1 น่าจะอยู่ในระดับประมาณ 7% หรือ 6-8% มองว่าทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบ แต่ตอนนี้ต้องบอกว่าเกือบจะจบมีนาคมแล้ว ตัวเลขจะประมาณนี้

           

ส่วนไตรมาส 2 เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับนโยบายที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง 1 เมษายนจะออกมาประกาศ ก็ติดตามว่าจะมีอะไรบ้าง เราจะอยู่ในเครือข่ายไหม แต่กำลังจะตั้งโจทย์ว่า เราอย่าไปถามเลยว่าเราจะมีชื่ออยู่หรือไม่ แต่ควรตั้งรับว่าเราเตรียมความพร้อมกันหรือยัง ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ต้องร่วมมือกัน บริบทครั้งนี้ต้องร่วมงานกันทำ เหมือนภาพที่เราเห็นทางจีนก็คือทาง สี จิ้นผิง และทางผู้นำด้านการค้าของทางจีนร่วมกัน ภาพนี้ดีที่สุด ร่วมกันระหว่างรัฐกับเอกชน ทำให้เกิดภาพที่ดี

           

ขณะที่ไทยเราเอง มองว่าทางภาคเอกชนเขาพร้อม เข้าใจว่าทุกฝ่ายเหมือนกับว่าตอนนี้แยกย้ายกันไปทำก่อน เดี๋ยวพอมีตัวเลขหรือการประกาศอะไรที่ชัดเจน คิดว่าทุกคนเป็นห่วง อยากให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน คือมีเป้าหมายเดียวกัน แต่กระบวนการอาจจะต่างคนต่างทำไปก่อน เดี๋ยวก็คงร่วมกัน แต่ทางสภาผู้ส่งออกทางเรือก็ยังคิดว่าการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งที่ดี เพราะที่เราประสบความสำเร็จมาหลายๆ ครั้งก็เพราะมีรัฐและเอกชนร่วมกัน หนีออกไม่ได้ ต้องเป็นปาท่องโก๋กันแล้ว

             

 

Comentários


bottom of page