ฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หนึ่งในแคนดิเดต ชิงเก้าอี้ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่เปิดใจเป็นคนที่พร้อมทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ตามจังหวะและโอกาสที่ได้รับ และพร้อมเข้าใจคนที่ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและคนที่รู้จักตัวตนของเขาดี ทำให้เกิดทั้งเสียงเชียร์และต่อต้าน
จากกรณีที่การสรรหาผู้เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แทน ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ที่จะครบวาระ หรือเกษียณในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 นี้ และได้มีการส่งใบสมัครกันวันที่ 7 กุมภาพันธ์เป็นวันสุดท้าย ปรากฏตามข่าวว่า คนที่เป็นแคนดิเดต มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะท้าชิงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินนั้นเหลือตัวกลั่นแบบสุดจัดปลัดบอกเพียง 2 คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ ฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลูกหม้อ ธอส.
อย่างไรก็ตาม เมื่อระยะเวลาการสรรหางวดเข้ามา ได้ปรากฏข่าวต่าง ๆ นานามากมาย ทั้งจากฝ่ายกองหนุนและกองค้าน
ในส่วนของนายฉัตรชัยนั้นปรากฏว่ามีเสียงต่อต้านเข้ามาไม่น้อย เฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องของความเหมาะสมที่ว่า เขาอาจมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ นั่นคือความสามารถในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งนายฉัตรชัยเป็นเพียงลูกหม้อธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่มีผลงานที่โดดเด่น และไม่มีประสบการณ์อื่นเลย จึงไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
กรณีนี้ นายฉัตรชัยได้ชี้แจงว่า ไม่มีความเห็นใดนอกจากบอกได้ว่าส่วนตัวเขานั้นเป็นคนที่ทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มที่ตลอด ไม่ว่าจะทำหน้าที่ตำแหน่งใด
"ผมไม่บอกว่าผมทำหน้าที่ของผมดีที่สุดแล้ว แต่ผมบอกได้ว่าผมทำหน้าที่ของผมเต็มที่แล้ว และที่ผ่านมา 3-4 ปีจะบอกว่าบริหาร ธอส.ประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นระหว่างทางไม่อาจพูดได้ แต่มาในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมาที่เราได้รับรางวัลเยอะแยะมากมาย นั่นคือตัวการันตีชี้วัดว่า ธอส.ประสบความสำเร็จหรือไม่"
ทั้งนี้มีรายงานจาก ธอส.ระบุว่านับตั้งแต่นายฉัตรชัยทำหน้าที่ กรรมการผู้จัดการ ธอส.ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นมานั้น ธอส.มีผลการดำเนินงานทางด้านการเงินและไม่ใช่ทางด้านการเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เป็นประโยชน์ต่อพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับธนาคาร รวมทั้งมีผลงานที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์จากการได้รับรางวัลในระดับประเทศมากมาย โดยสามารถบริหารจนสินทรัพย์ของ ธอส.เพิ่มขึ้นจาก 900,223 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 1,245,651 ล้านบาท ในปี 2562 หรือคิดเป็น 38.37% ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารมีการออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความหลากหลายครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งรายได้น้อยและปานกลาง รวมถึงสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองสอดคล้องกับพันธกิจหลักของธนาคาร ทำให้เงินให้สินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 862,832 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 1,209,264 ล้านบาท ในปี 2562 คิดเป็นเพิ่มขึ้น 40.15%
ในส่วนของหนี้สินเพิ่มขึ้นจาก 838,226 ล้านบาท เป็น 1,154,833 ล้านบาท ในปี 2562 ส่วนใหญ่มาจากเงินรับฝากที่มีการเติบโตสอดคล้องกับเงินให้สินเชื่อ ธนาคารมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ 8,700 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 13,353 ล้านบาท ในปี 2562 คิดเป็นเพิ่มขึ้น 53.48%
นอกจากนี้ยังสามารถรักษาระดับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to Income) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าธนาคารอื่น รวมถึงมีคุณภาพสินทรัพย์และเงินกองทุนอยู่ในระดับตามเกณฑ์ขั้นต่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารมีการบริหารจัดการเงินกองทุนเพื่อรองรับผลกระทบในอนาคตได้
ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่และสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างของธนาคารมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะในปี 2560-2561 ที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และสูงกว่าภาพรวมของตลาดสถาบันการเงิน ที่อัตราร้อยละ 6.79 และร้อยละ 17.06 ตามลำดับ ซึ่งธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้สูงสุดมากกว่า 200,000 ล้านบาท ในปี 2561
ธอส.มีส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างเป็นอันดับ 1 และมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากธนาคารออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตรงกับความต้องการลูกค้าทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง (Social) และกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง (Business) ระบบการนำองค์กร (Leadership System) กรรมการผู้จัดการได้วางระบบการนำองค์กรใหม่ ที่เรียกว่า "GHB SMART Leadership System" ประกอบด้วย พันธกิจ วิสัยทัศน์ ค่านิยม และ 5 ฟันเฟือง เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายองค์กร (SMART Goals) ทบทวนและกำหนดพันธกิจและวิสัยทัศน์ เพื่อผลักดันองค์กรให้ประสบความสำเร็จทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยมุ่งมั่นให้ ธอส.ดำเนินงานตอบสนองต่อเจตนารมณ์เพื่อสร้างความสุขและความมั่นคงในชีวิตด้วยการ "ทำให้คนไทยมีบ้าน"
อีกทั้ง นายฉัตรชัยยังได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 ถึง พฤษภาคม 2562 และเมื่อเดือนเมษายน 2562 สภาสถาบันการเงินของรัฐได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ เขายังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
ส่วนรางวัลที่ได้รับในปี 2562 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น รางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ของหน่วยงานภาครัฐ (ITA Awards) รางวัลคุณภาพแห่งชาติ Thailand Quality Award (TQA) รางวัลประเภทความเป็นเลิศในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีกระแสต่อต้านกรณีที่มีข่าวว่าเขาเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ไม่เหมาะสมโดยเฉพาะด้านคุณสมบัตินั้น นายฉัตรชัย กล่าวว่า เข้าใจดีและไม่ได้โกรธคนที่กล่าวถึงเขาในทางไม่ดี
"การที่เราจะได้ไปทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไรหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่เรา อย่างตอนนี้มีข่าว ประเด็นคือ ผมไม่รู้จักคุณ คุณไม่รู้จักผม อันนั้นผมไม่โกรธเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ คุณจะมาเชียร์ผมหรือคุณจะมาต่อต้านจะเกลียดผมเพราะคุณไปได้ข้อมูลอินฟอร์เมชันอะไรมาซึ่งถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นคือผมก็อยู่เฉยๆ เท่านั้นเอง ผมก็เข้าใจลอจิก มันคือลอจิก สุดท้ายคือเกลียดกันทั้งที่ไม่รู้จักกันไปทำไม
ถามว่าจะฟ้องใครไหม ไม่ฟ้องด้วยครับ ฟ้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้อะไรขึ้นมาที่จะสร้างความบาดหมางขึ้นไปเรื่อยๆ" นายฉัตรชัย กล่าว
อนึ่ง เป็นที่จับตาดูว่าต่อจากนี้ไป ใครจะผ่านการสรรหาเพื่อเป็น ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน คนใหม่ เพราะแคนดิเดตอีกคนหนึ่งนั้นก็จัดอยู่ในขั้นตัวกลั่น ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
Comments