ต้องยอมรับว่าการที่ตลาดหุ้นโลกยังคงแกว่งตัวขึ้นต่อได้ในระยะสั้น เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ได้อนุมัติในหลักการแล้วสำหรับการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้จีนรอดพ้นจากการถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มอีก 15% วงเงินราว 1.60 แสนล้านดอลลาร์ ที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 ธันวาคม 2562 โดยข้อตกลงได้ครอบคลุมถึงการที่จีนให้คำมั่นสัญญาว่าจะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้มีการหารือกันเกี่ยวกับการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยที่ความคืบหน้าล่าสุดสหรัฐได้ตกลงยกเลิกการขึ้นภาษี 1.6 แสนล้านเหรียญ กับสินค้า List 4B ซึ่งกำหนดการเดิมจะขึ้นภาษีนำเข้าเป็น 15% และลดภาษีนำเข้าสินค้า List 4A จาก 15% เป็น 7.5% ส่วนสินค้าในรายการอื่นยังคงภาษีนำเข้าในอัตราเดิม อีกทั้ง ทางการจีนตกลงที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดเสรีภาคการเงิน และการดูแลค่าเงินหยวน
โดยสรุปแล้วมีการคาดการณ์ว่าทั้งสองประเทศจะเดินหน้าเจรจา phase 2 ทันที ไม่รอหลังการเลือกตั้งปีหน้าแล้ว ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2562 ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที
ในส่วนของมุมมองจากนักวิเคราะห์นั้น พบว่าล่าสุด Goldman Sach ได้ให้ความเห็นว่า ภายใต้การบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่ตลาดหุ้นและตลาดทุนขานรับเพราะมองว่าเป็นข่าวดีนั้น จริงๆ แล้วการที่สหรัฐจะลดการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์เหลือจัดเก็บในอัตรา 7.5% ถือว่าน้อย และเป็นแค่ครึ่งเดียวของตัวเลขที่ Goldman Sach ประมาณการ
สิ่งที่ต้องติดตามต่อ คือการที่ Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าของสหรัฐ ระบุว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2563 ที่วอชิงตัน แต่ภายใต้คำกล่าวดังกล่าวเต็มไปด้วยท่าทีที่ระมัดระวังมาก เพราะว่าประธานาธิบดี Donald Trump ยังไม่ได้ให้สัญญาเกี่ยวกับการยกเลิกจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอนาคต เนื่องจากต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลจีนก่อนว่าจะดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้หารือร่วมกันไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องหรือเปล่า
พักวงจรลดดอกเบี้ย : หลังจากที่ตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นมาราว 25% ผมมองว่ามาถึงเวลานี้ตลาดหุ้นโลกหมดปัจจัยหนุนที่สำคัญไปแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ล่าสุดคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.50-1.75% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ หลังจากที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้เฟดยังได้ส่งสัญญาณไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี 2563 ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำ ซึ่งหากดูประกอบกับ Dot plot ปี 2563 ค่ากลางของความเห็นมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.625% ซึ่งสอดคล้องกับการส่งสัญญาณของเฟดที่จะคงอัตราดอกเบี้ยถึงปีหน้า ส่วนปี 2564 อัตราดอกเบี้ยมีโอกาสจะปรับขึ้นได้อีกครั้งด้วยซ้ำ
ในด้านมุมมองของตลาดต่ออัตราดอกเบี้ยผ่าน Fed Fund Futures แสดงออกมาว่าการประชุมในเดือน ม.ค.2563 และ มี.ค.2563 ตลาดมองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยมีโอกาสอยู่ราว 100% และ 94% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามในช่วงสิ้นปี 2563 แม้ว่าตลาดจะมีมุมมองว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคงอัตราเบี้ย แต่โอกาสเพียง 53% เท่านั้นที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ขณะที่สัญญาณการพักวงจรของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกยังคงทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% โดยเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ขณะที่ Christine Lagarde (ประธานคนใหม่ของ ECB แทน Mario Draghi) กล่าวว่า ECB คาดว่าจะเริ่มทำการทบทวนด้านกลยุทธ์สำหรับการดำเนินงานในเดือน ม.ค.2563 เนื่องจากตระหนักถึงผลกระทบข้างเคียงของการดำเนินนโยบายการเงินที่ไม่ปกติของ ECB
Christine Lagarde ยังกล่าวอีกว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของยูโรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ขณะที่ในเชิงของแนวโน้มทางเทคนิค "นายหมูบิน" มองว่าปัจจุบัน SET ยังคงแกว่งตัวอยู่ในแนวโน้มหลักขาลง และตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดเหนือบริเวณ 1,700 จุด เพื่อยืนยันการจบรอบการพักฐานได้ “นายหมูบิน” ยังคงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าการดีดตัวขึ้นในระยะสั้นของ SET เป็นเพียงแค่การ Technical Rebound เท่านั้น โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1,600, 1,670 และ 1,700 จุด ขณะที่ในกรณีของ Downside Risk นั้น แนวรับที่ต้องระวังให้มากที่สุดคือ บริเวณ 1,547 จุด ทั้งนี้ในกรณีที่ SET หลุดแนวรับดังกล่าวลงไป จะเป็นการยืนยันรูปแบบ Descending Triangle และ SET มีโอกาสลงไปที่ 1,450 จุดได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เกิดจากรูปแบบ Head and Shoulder Top ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ SET หลุด 1,590 จุดลงมายืนยันแนวโน้มขาลง ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2562 แล้ว
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดในกรอบ 1,600 จุด เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ "Short Against" เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ "ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต"
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ
Comments