"นายหมูบิน" ยังคงมองว่าการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นโลก และไทยยังคงมีความเสี่ยง หลังจากที่ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดออกมาให้ความเห็นว่าการทรุดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 จะรุนแรงสุดที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเฟดพร้อมใช้นโยบายการเงินเพิ่มเติมจนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้
ที่ผ่านมาเฟดได้ลดดอกเบี้ย และเข้าซื้อสินทรัพย์ รวมถึงปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคาร ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ใช้ในกรณีพิเศษเท่านั้น แต่การไม่ได้ระบุว่ามีวิธีใดบ้าง และไม่ให้ความเห็นเรื่องดอกเบี้ยติดลบ อีกทั้งยังไปกดดันให้เพิ่มนโยบายการคลัง ส่งผลให้นักลงทุนบางกลุ่มผิดหวัง เนื่องจากคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับติดลบ
นอกจากนี้ความเห็นต่างๆของสมาชิก FOMC ที่โดยรวมแล้วมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นตัว และอาจจะต้องมี Stimulus Package เพิ่มเติมด้วยขณะที่ล่าสุดกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยรายงานยอดขาดดุลงบประมาณเดือน เม.ย. 2563 สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 7.38 แสนล้านดอลลาร์
ทำให้โดยรวมแล้วกระทรวงการคลังสหรัฐได้ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 9.8 แสนล้านดอลลาร์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่ในจำนวนดังกล่าวราว 2.17 แสนล้านดอลลาร์เป็นมาตรการที่แจกจ่ายเงินให้กับภาคประชาชนและครัวเรือนโดยตรง
ล่าสุดสถาบันวิจัยอย่าง Goldman Sachs มองว่าถ้าสหรัฐมีการระบาดของโคโรนาไวรัสเป็นรอบที่ 2 จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ จนถึงขั้นที่เฟดอาจจะพิจารณานโยบายดอกเบี้ยติดลบ ขณะที่ล่าสุดตัวเลขผู้ขอเข้ารับสวัสดิการการว่างงานเป็นครั้งแรกของสหรัฐ หรือ Initial Jobless Claim จะออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีก 3 ล้านคน มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.5 ล้านคน
ถึงแม้ว่าตอนนี้เฟดจะยืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่ใช้ดอกเบี้ยติดลบโดยเด็ดขาด ซึ่งความเชื่อมั่นที่ยังน้อยมากดังกล่าวสะท้อนออกมาจากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 0.36% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมามาอยู่ที่ 23.31% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ลดลง 2.05% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 50.61%
เฟดเตือนตลาดการเงินยังมี Downside Risk ! แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นโลก และสหรัฐจะยังไม่ปรับตัวลงอย่างชัดเจน แต่ความเสี่ยงที่สูงขึ้นสะท้อนออกมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดออกรายงานเตือนว่าราคาหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆอาจลดลงอย่างต่อเนื่องหากยังแก้วิกฤตการแพร่กระจายของเชื่อไวรัส COVID-19 ไม่ได้ เพราะผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะรุนแรงกว่าที่เห็นในตอนนี้ สภาพคล่องที่ติดขัดจากระบบการเงินจะกลับมาให้เห็นอีกครั้ง และราคาสินทรัพย์ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานก่อนการระบาดของไวรัสจะเข้ามาแล้ว
เฟดระบุเพิ่มเติมว่าตัวเลขการว่างงานนั้นจะเข้าสู่จุดสูงสุดภายใน 1-2 เดือน แต่จะใช้เวลาค่อนข้างนานสำหรับการฟื้นตัว รวมถึงการระบาดของการแพร่กระจายของเชื่อไวรัส COVID-19 ได้สร้างแผลเป็นอย่างถาวรไว้ให้กับระบบเศรษฐกิจโลก ส่วนทางฝั่งของสถาบันวิจัยอย่าง Goldman Sachs ล่าสุดออกมาประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานสหรัฐสูงสุดเป็น 25% เพิ่มขึ้น 10% จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 15%
ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนกลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐได้เพิ่มแรงกดดันต่อบริษัท Huawei อีกครั้ง โดยกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐประกาศเพิ่มความเข้มงวดการควบคุมการส่งออกสินค้าและอุปกรณ์ไปยังบริษัท Huawei และบริษัทในเครือ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและนโยบายด้านการต่างประเทศ ซึ่งจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ดัชนี VIX Indexของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.7%, 12.0% และ 17.4% ตามลำดับเมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bloomberg Consensus ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิในตลาดหุ้นไทยลงอีก 2.65% ลงมาอยู่ที่ -19.6% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิในตลาดหุ้นไทยลงมาแล้วถึง 31.9% มากกว่าเทียบกับการที่ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ Bloomberg Consensus ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิในตลาดหุ้นโลก, สหรัฐ, ญี่ปุ่น และ Asia ex Japan ลง 29.1%, 29.7%, 19.3% และ 17.7% ตามลำดับ
ขณะที่อัตราการขยายตัวของกำไรสุทธิปี 2563 ในตลาดหุ้นไทยที่ -19.6% ยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวของกำไรสุทธิปี 2563 ในตลาดหุ้นโลก, สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และ Asia ex Japan ที่ -10.1%, -9.8%, -13.8% และ -2.9% ตามลำดับ
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ใช้โอกาสที่ SET ยังคงยืนเหนือ 1,250 จุด (+/-) ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.0 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club
Comentarios