“ณัฎฐ มหัทธนา” นักวิเคราะห์มือฉมังผ่าหุ้นไทยยังเจ๋งอยู่ ราคาหุ้นไม่ตกง่ายๆ มีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าปรับลง ได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทแข็งกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย อาศัยใบบุญดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล มีทุนสำรองสูง พึ่งลมใต้ปีกจากเศรษฐกิจ/ธุรกิจจีนดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีถึงปีหน้าเพราะได้ยาโป๊วดี แม้ไม่ได้เห็นดัชนีหุ้นไทย SET 2,000 ในปี 2561 แต่เชื่อว่าได้เห็นแน่นอน แนะหลีกเลี่ยงหุ้น/ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
มีข้อสังเกตอะไรบ้างเมื่อเข้าสู่ Q4 ตลาดหุ้นมีความผันผวนหนัก
เวลาที่จะลงทุนจะซื้อหรือจะขายเราเกี่ยวข้องกับระดับราคาของสินทรัพย์ แต่ต้องเทียบเสมอว่าราคา ณ ปัจจุบันที่เราจะซื้อหรือจะขายได้เมื่อเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสมมันเป็นอย่างไร ราคาของสินทรัพย์จะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง เวลาที่ผมจะวิเคราะห์หรือประเมินอะไรก็ขึ้นอยู่กับ 2 อย่างนี้ โดยรวม คือ อัตราการเติบโต ถ้าเราซื้อหุ้นอาจจะชัดเจนอยู่แล้วว่ากำไรโตแล้วจะมาถึงมือเราหรือไม่ หรือกำไรโตถึงแค่ cash flow ถ้าดูตัวบริษัทจะมีหลายปัจจัยที่มีผล จะมีปัจจัยที่เฉพาะของอุตสาหกรรมนั้น แต่ถ้าดูทั้งตลาดจะไปพัวพันกับการเติบโต GDP เพราะฉะนั้นอัตราการเติบโตจะเป็นอย่างไรเมื่อเราเข้าสู่โค้งสุดท้าย
ตอนนี้ผมไปออกรายการหรือไปสัมมนาก็จะถามถึงปีหน้าแล้วว่าเป็นอย่างไร
ในช่วงเวลาของปีนี้อยู่ในช่วงของการขยายตัว เศรษฐกิจโลกหลักๆดูเบอร์ 1 หรือ 2 สหรัฐหรือจีน สหรัฐในปีนี้โตโดดเด่นกว่าที่อื่นไม่ว่าจะเป็นยุโรป จีน ญี่ปุ่น หรือ ตลาดเกิดใหม่ เพราะสหรัฐ มีการลดภาษี มีการกระตุ้นการคลัง ตลอดปีนี้จะเห็นว่าตัวเลขเศณษฐกิจดีมาก ปีหน้าคนจะเริ่มชี้แล้วว่าปีหน้าไม่น่าโตแรงกว่าปีนี้ เพราะลดภาษีก็ลดแล้ว การขาดดุลงบประมาณมากขึ้น ใช้จ่ายมากกว่าได้ ปีหน้าคงไม่มีมีอะไรแบบนี้หรืออาจจะมีนิดหน่อย เพราะฉะนั้นเติบโตคงไม่แรงเท่าปีนี้
เบอร์ 2 อย่างจีนในปีนี้ ในช่วงต้นปีดูเหมือนโตได้ดี แต่ช่วงครึ่งหลังของปีไม่ได้เป็นอะไรที่ประหลาดใจเพราะนโยบายของจีนเปิดไฟเขียว เวลาที่เศรษฐกิจแรงมากอย่างปีที่แล้วจีนก็หันมาลดหนี้ลดสินในระบบให้อนาคตมีเสถียรภาพดีขึ้น เพราะฉะนั้นครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจีนค่อนข้างชะลอตัวลง ตัวเลข GDP ที่ออกมาเมื่อที่ผ่านมา ในช่วงกลางปีที่จำได้จะย้ำเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะว่าจีนที่ประสบปัญหาเรื่องของสงครามการค้าเศรษฐกิจก็ชะลอลงอยู่แล้ว เมื่อเจอสงครามการค้าจีนมีการผ่อนปรนนโยบายสำคัญ ลดภาษี กระตุ้นในบางส่วน เพราะเศรษฐกิจจีนมีอำนาจควบคุมมาก อยากจะกระตุ้นตรงไหนหรือชะลอตรงไหนก็ทำได้ จีนได้มีการประกาศตอนเดือน 7 ใช้เวลา 4 เดือนก็ภายในเดือน 11 ก็ฟื้นขึ้นมา ถ้าใช้เวลา 6 เดือนก็ถึงต้นปีหน้า จะเห็นว่าในช่วงเดือน 11 เป็นต้นไปจะเห็นเศรษฐกิจจีนดีขึ้น
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มว่าจะโตเป็นบวกแต่โตในอัตราช้าลงในปีหน้า สำหรับปีนี้ที่เรียกว่า growth divergence สหรัฐโตดีอยู่ที่เดียวและที่อื่นๆในโลกไม่ค่อยโต ปีหน้าอาจจะค่อนข้างน้อยลง การแยกทางน้อยลงและจะใกล้เคียงกันมากขึ้น เศรษฐกิจที่อื่นน่าจะเร่งตัวขึ้นมา
ของยุโรปเราเห็นตั้งแต่ข่าวมีแต่ปัญหาการเมือง แต่ภาพเศรษฐกิจปีนี้อาจจะดูชะลอลงแต่ก็ค่อยๆฟื้นเร่งตัวขึ้นมา ในปีหน้าอาจจะคล้ายกันกับจีนก็ได้มีการฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงกับสหรัฐมากขึ้น เพราะฉะนั้นจึงมองว่าโอกาสของการลงทุนความจริงแล้วในปีนี้หลายเดือนที่ผ่านมาคนเริ่มหันไปดูตัวสหรัฐ เพราะหุ้นของสหรัฐแข็งกว่าที่อื่น สงครามการค้าดูเหมือนได้เปรียบ แต่เราดูลักษณะสวนกันในเมื่อปีหน้าอัตราการเติบโตชะลอลง เพราะว่าในช่วงหลังนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ใหญ่ในต่างประเทศเริ่มมีความไม่มั่นใจ ไม่ใช่แค่ปี 2019 อย่างปี 2020 ขึ้นไปของการเติบโต เรื่องการกำไรของบริษัทภาพเริ่มเบลอ ให้ความเป็นไปได้ในการให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยในปี 2020 ถึง 60% จะเกิดเศรษฐกิจถดถอย
เพราะฉะนั้นเมื่อภาพเป็นแบบนี้การทำกำไรข้างหน้า 2 ปีถัดไปจากนี้เริ่มชะลอ เพราะความไม่แน่นอนสูงขึ้นนักลงทุนจะต้องการส่วนลดเยอะขึ้นในการที่จะซื้อ จึงเตือนในการซื้อหุ้นสหรัฐ และระดับราคาค่อนข้างสูงแพงแล้วก็แพงต่อไป อาจจะเกิดการปรับฐานในอนาคตอันใกล้นี้เพราะตอนนี้หุ้นสหรัฐผันผวนเพียงแค่ปรับฐานเพราะยังลงไม่ถึง 10% การปรับฐาน 10%ขึ้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ประกอบกับ 6 พฤศจิกายน ที่พูดกันมาเรื่องของการเลือกตั้งของสหรัฐ ตรงนี้ถ้าผลออกมาแล้วเดโมแครตแรงขึ้นมา ตรงนี้ความไม่แน่นอนผลโพลคงไม่เชื่อเพราะเราเจ็บมาหลายครั้งกับผลโพล เพราะฉะนั้นถ้าเดโมแครตมาจริงก็อาจจะสร้างความไม่แน่นอนมากขึ้นอีก 2 ปีข้างหน้าที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 และนโยบายต่างๆที่จะตามมา เพราะเดโมแครตไม่ได้ชอบลดภาษีแต่ชอบเรื่องการขยายสวัสดิการมากกว่าซึ่งขัดกับรีพับลิกัน
การเติบโตที่แคบจะทำให้หุ้นของประเทศอื่นๆ ค่อนข้าง underperform น่าจะดีขึ้น เพราะมีการอัพเกรดหรือเพิ่มมุมมองหุ้นยุโรปจากเดิมที่ไม่ชอบ พอปรับเพิ่มมุมมองหุ้นจีนจากเดิมที่อยู่กลางๆ ก็กลายเป็น Overweight ในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยมีผลทำให้กระแสเงินสดในอนาคตถ้าดอกเบี้ยมันสูงขึ้น เราลดมาเป็นปัจจุบันค่าจะน้อยลงเยอะ เวลาดอกเบี้ยขึ้นช่วงที่ผ่านมาดอกเบี้ยสหรัฐ ขึ้นแรงทำให้หุ้นที่มีลักษณะการเติบโตสูง เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่มีความนิยมมากก่อนหน้านี้ เพราะหุ้นกลุ่มนี้มีการประมาณว่าจะได้กระแสเงินสดหรือกำไรเยอะ เวลาตรงนี้ขึ้นเยอะก็จะกระทบเยอะเพราะถอยเงินพวกนี้กลับมาในปัจจุบันน้อยลงเยอะเลย เลยมีการปรับฐานลงมา
หุ้นกลุ่ม FAANG มี AMAZON, FACEBOOK, APPLE, GOOGLE, alphabet, alibaba ก็ปรับฐานลงมาค่อนข้างเยอะ ทำให้เรามองว่าการปรับฐานในบางตัวบางตลาด เช่น จีน อย่าง alibaba ปรับลงจนน่าสนใจ บางตัวอาจจะยังลงไม่เยอะก็ต้องดูว่าระดับราคาของเขาน่าสนใจหรือยัง อย่างของจีนเราคิดว่าน่าสนใจแล้ว การที่หุ้นพวกนี้ปรับตัวลงมาขณะที่บางวันตลาดไม่ค่อยขึ้นหรือลง แต่กลุ่มบางกลุ่มอย่างแบงก์กลับดีขึ้นมาเพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น มันทำให้การหมุนวนระหว่างกลุ่มที่เคยพุ่งขึ้นร้อนแรงปรับราคาสูงขึ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหรืออินเทอร์เน็ต กลับไปยังกลุ่มแบงก์ตามเศรษฐกิจ
ตอนนี้เราเริ่มจะเห็นและต้องระมัดระวังหุ้นในกลุ่มที่เคยปรับตัวขึ้นมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระดับราคาเริ่มแตกต่างจากกลุ่มหุ้นราคาถูกซึ่งเราค่อนข้างหุ้น Value Stock มากกว่า
ส่วนตลาดที่เราคิดว่าเรายังอยู่ด้วย Valuation ความถูกของมัน เพราะเฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยไป 8 ครั้ง เดือนธันวาคมขึ้นแน่เป็นครั้งที่ 9 ทำนายครั้งต่อไปในปีหน้าบางคนบอกว่าขึ้น 4 ครั้ง คิดว่าความคาดหวังตรงนี้เข้าไปในตลาดค่อนข้างเยอะ แล้วเฟดต้องดูเศรษฐกิจไปเรื่อยๆ ถ้าเราเชื่อว่าเศรษฐกิจไม่มีความแน่นอนมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า เฟดอาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คิดก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลดีต่อสินทรัพย์อย่างทองที่เราชื่นชอบ ตลาดเกิดใหม่ที่เริ่มจะยืนได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่กลัวเฟดขึ้นดอกเบี้ย
แล้วทองจะไปได้ไกลไหม
คำถามนี้ต้องระวังนิดหน่อย
หลายๆท่านนักลงทุนที่เคยติดดอยทองคำกันในปี 2011 มี 2 เหตุผลที่ควรระมัดระวังแล้วอย่าทำผิดซ้ำ คือ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ใช้กระจายความเสี่ยง ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีปันผล อย่าไปใช้เป็นสินทรัพย์หลัก ห้ามใช้แทรกเข้าไปในพอร์ตเพื่อให้พอร์ตมีความผันผวนลดลง ส่วนจุดที่ซื้อถ้าชอบมากต้องให้ระวัง ตอนนี้เริ่มฟื้นบ้างแล้วก็ลง ราคาค่อนข้างเยอะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นในเวลาแบบนี้ที่ควรจะสนใจเข้าลงทุนบางส่วนในทองเพื่อเอาเข้ามาแทรกในพอร์ตทำหน้าที่เพียงกระจายความเสี่ยง ไม่ได้หาผลตอบแทนแบบจริงจัง การหาผลตอบแทนที่มาจากปันผลหรือกำไรควรจะไปอยู่กับหุ้นหรือตราสารหนี้เป็นหลัก
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้เจอแรงขายหนักจากนักลงทุนต่างประเทศ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปในห้วงเวลาที่เหลือปี 2561 ของตลาดหุ้นไทย
เป้า SET 2,000 ในปีนี้เหนื่อยขึ้น ถ้าตีตรงนี้เป็น 20% เราต้องยอมรับว่าตัวเวลามีจำกัดเพียงแค่ 2 เดือนกว่าค่อนข้างยากในปีนี้ แต่เรามั่นใจเรื่องของหุ้นไทยเงินบาทเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพราะดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินสำรองสูง สิ่งนี้ไม่เปลี่ยนไปง่ายๆ หุ้นไทยคงเป็นพรีเมียมราคาไม่ถูกลงง่ายๆ
การอัพไซส์มาจากเศรษฐกิจจีนที่น่าจะดีขึ้นในปลายปีและสงครามการค้าที่คิดว่ามาเจรจาหลังการเลือกตั้งอเมริกา 6 พฤศจิกายน ตรงนี้ประเทศส่งออกอย่างไทยก็จะได้รับความสนใจ คิดว่าทั้งหุ้นและตราสารหนี้ไทยน่าจะดีในช่วงปลายปีหน้า สินทรัพย์ลงทุนทั้งระยะสั้น, ระยะกลาง, ระยะยาว เป็นทางเลือกสำหรับการกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ไทยเป็นหลัก
ส่วนดัชนีหุ้นไทย SET 2,000 อาจจะมีดีเลย์ได้เราต้องยอมรับว่าปีนี้มีเวลาเหลือน้อยแล้ว แต่ยังมั่นใจในทิศทางที่เรียกว่ามีโอกาสขึ้นมากกว่าลงสำหรับหุ้นไทยระดับนี้
Comments