KBank Private Banking ขับเคลื่อนภาคการลงทุนไทยสู่ความยั่งยืนทั้งในมิติของกระบวนการและเป้าหมาย เปิดตัว “กองทุน K-SUSTAIN-UI” เน้นลงทุนในหุ้นที่สร้างกำไร ทั้งจากหุ้นที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่ความยั่งยืน
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Managing Director-Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า KBank Private Banking เชื่อว่าเทรนด์ลงทุนด้านความยั่งยืนเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว จากหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทย ที่เน้นเสริมสร้างความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดันแนวคิดการลงทุนในธีมธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างยั่งยืน ในขณะที่ทุกเม็ดเงินที่ลงทุนยังสนับสนุนธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่โลกอย่างแท้จริง
“ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่าน ธนาคารได้แนะนำกองทุนภายใต้ธีมความยั่งยืนแก่ลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น K-HIT K-CHANGE และ K-CLIMATE ซึ่งเป็นแสดงให้เห็นว่าการลงทุนอย่างยั่งยืน ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ บริการทางการเงิน และโอกาสทางการศึกษา เพื่อช่วยยกระดับสังคม และความเป็นอยู่ของคนในสังคมให้เท่าเทียมกันด้วย”
ล่าสุด KBank Private Banking ร่วมกับ บลจ.กสิกรไทย ได้นำเสนอกองทุนใหม่ K-SUSTAIN-UI กองทุนยั่งยืนกองแรกของไทย ที่ใช้ LONG-SHORT Strategy เน้นลงทุนสร้างกำไร ทั้งจากหุ้นที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่ความยั่งยืน โดย K-SUSTAIN-UI จะลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Multi-Manager Sustainable Long-Short Fund, Class JPM S2 (perf) (acc)-USD ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ซึ่งกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนใน 5 กลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความเติบโตโดยไม่ทิ้งความเสียหายไว้กับโลก (Sustainability Megatrend) ได้แก่ 1. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) 2. การดูแลสุขภาพ (Health and Wellness) 3. โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาหรือบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม (Empowerment) 4. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) 5. เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Technology for Sustainability) โดยกลุ่มธุรกิจที่สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ จะได้รับประโยชน์จากกำไร และการเติบโตที่มากขึ้น จะกลายเป็นผู้ชนะ ในขณะที่บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวได้จะเผชิญกับความเสี่ยงกับการถดถอย และกำไรที่ลดลง แล้วกลายเป็นผู้แพ้ได้ในที่สุด
ทั้งนี้ JP Morgan Asset Management ผู้บริหารกองทุนหลัก มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ทั้งในการซื้อหุ้น (Long) ที่มีโอกาสเติบโตมาถือไว้เพื่อกำไรในอนาคต และการขายหุ้น (Short) ที่มีแนวโน้มราคาลดลง หรือที่เรียกว่าLong - Short Strategy ทำให้กองทุน K-SUSTAIN-UI มีความพิเศษกว่ากองทุนยั่งยืนอื่น ๆ ในตลาดประเทศไทย เพราะไม่เพียงเข้าซื้อหุ้นอย่างเดียว แต่จะซื้อหุ้น (Long) ที่คาดหวังว่าจะสร้างผลดำเนินงานได้ดี จากการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งราคา ณ ปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนถึงความเติบโต และจะขายหุ้น (Short) ที่ราคาแพงเกินไปในปัจจุบัน หรือหุ้นที่อาจจะเสียโอกาสจากการไม่ยอมปรับตัว หรือไม่มีความสามารถในการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง ด้วยกลยุทธ์นี้ ทำให้สามารถสร้างโอกาสและผลตอบแทนจากทั้งหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน อีกด้วย
ด้วยประสบการณ์ของ JP Morgan Asset Management ที่สามารถเฟ้นหาผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม มาเป็นผู้จัดการกองทุนย่อย หรือ Sub-Advisor ทั้งหมด 7 กอง 1. ตลาดเกิดใหม่ 2. ตลาดจีน 3. ตลาดยุโรป 4. กลุ่มสุขภาพ 5. กลุ่มสาธารณูปโภค 6. กลุ่มผู้บริโภค เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม 7. การมีส่วนร่วมการเปลี่ยนแปลงบริษัทผ่านการถือหุ้น
ซึ่งผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ จะมาช่วยบริหารการลงทุนภายใต้ 5 ธีมความยั่งยืนที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้กลยุทธ์ Long-Short สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในทุกวัฏจักร จัดการผ่านช่วงเวลาที่หุ้นมีความผันผวนได้ดี และสามารถทำกำไรจากการชอร์ตหุ้นได้
“ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Multi-Manager Sustainable Long-Short Fund, Class JPM S2 (perf) (acc)-USD เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 15.53% (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2564) และด้วยกลยุทธ์ Long-Short และความสามารถของ Sub-Advisor ในปี 2563 ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ปรับลงไปกว่า 21% แต่กองทุนหลักปรับลงเพียง 9.44% เท่านั้น โดย KBank Private Banking แนะนำให้ลงทุนในระยะยาว เพราะยิ่งลงทุนระยะยาว และลงทุนผสม จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น และช่วยโลกยั่งยืนได้อีกด้วย”
Comments