พื้นฐานสหรัฐยังคงแกร่งหนุนหุ้นโลก!
ในเชิงของแนวโน้มหลักตลาดหุ้นสหรัฐยังคงเป็นผู้นำทิศทางขาขึ้นของตลาดหุ้นโลกต่อไป หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของภาคธนาคาร ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ทั้ง 31 แห่งของสหรัฐสามารถรับมือกับเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลกได้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษาศักยภาพในการปล่อยเงินกู้ให้กับลูกค้าและภาคเอกชน โดยธนาคารทั้ง 31 แห่งจะมีเงินทุนเพียงพอในการรองรับการขาดทุน และยังคงสามารถปล่อยเงินกู้ได้ในช่วงเวลา 2 ปีภายใต้สถานการณ์ที่อัตราว่างงานในสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 10%, ราคาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทรุดตัวลง 40% และตลาดหุ้นร่วงลง 55%
การทดสอบในครั้งนี้เฟดได้จำลองสถานการณ์การขาดทุนของภาคธนาคาร ซึ่งพบว่าธนาคารพาณิชย์มีการขาดทุนรวมกัน 6.85 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการขาดทุนจากธุรกิจบัตรเครดิตจำนวน 1.75 แสนล้านดอลลาร์, ขาดทุนจากการปล่อยเงินกู้ให้กับภาคธุรกิจจำนวน 1.42 แสนล้านดอลลาร์ และขาดทุนเกือบ 8 หมื่นล้านดอลลาร์จากการปล่อยกู้ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ซึ่งผลทดสอบระบุว่า ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐซึ่งได้แก่ เจพีมอร์แกน, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก, ซิตี้กรุ๊ป, โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ จะมีเงินทุนกันชน (Capital Buffers) เกือบ 2 เท่าของข้อกำหนดขั้นต่ำที่เฟดกำหนดไว้ที่ 4.5% ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ทรุดตัวรุนแรงดังกล่าว
ขณะที่ในส่วนของแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.7% ในไตรมาส 2 ปี 2567 ต่อเนื่องจากที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1 ทำให้ล่าสุดผลสำรวจความเชื่อมั่นของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่านักลงทุนเพิ่มน้ำหนักความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 44.5% จากระดับ 44.4% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะเดียวกัน นักลงทุนลดน้ำหนักความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า สู่ระดับ 27.2% จากระดับ 33.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น สู่ระดับ 28.3% จากระดับ 22.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว สถานการณ์ที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนเป็นปัจจัยหนุนสำคัญในส่วนของตลาดหุ้นเอเชียด้วย หลังจากที่ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์ในโพลของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน พ.ค. 67 ที่ 4.9% โดยแนวโน้มการส่งออกของจีนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.3% ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน พ.ค. 67 ที่ 2.8% ซึ่งจะหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจจีน แม้การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะชะลอตัวก็ตาม
ทั้งนี้ยอดการส่งออกของจีนสูงกว่าตัวเลขการคาดการณ์ทั้งในเดือน เม.ย. 67 และ พ.ค. 67 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในต่างประเทศที่แข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างผู้ผลิตในจีน ซึ่งแนวโน้มนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของจีนในการพึ่งพาการส่งออกเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และชดเชยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ ขณะที่ล่าสุดรัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายข้อกำหนดการซื้อบ้าน ด้วยการปรับลดอัตราส่วนการวางเงินดาวน์ซื้อบ้านและปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง เช่นเดียวกับเมืองขนาดใหญ่แห่งอื่นๆ เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเทศบาลนครปักกิ่งได้ปรับลดอัตราส่วนเงินดาวน์ลง 10% สู่ระดับขั้นต่ำ 20% สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกและปรับลดอัตราส่วนเงินดาวน์ลงสู่ระดับ 35% สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ในเขตเมือง และ 30% นอกเขตเมือง
การผ่อนคลายข้อกำหนดของกรุงปักกิ่งบ่งชี้ว่า ทั้ง 4 เมืองขนาดใหญ่ของจีนระดับเทียร์ 1 (Tier 1) ต่างดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกัน หลังจากรัฐบาลกลางได้จัดหาเงินจำนวน 3 แสนล้านหยวน (4.1 หมื่นล้านดอลลาร์) ให้กับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อเป็นทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ค้างสต็อก ทั้งนี้ การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กินระยะเวลานานถึง 3 ปี สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ และยังคงส่งผลกระทบแม้กระทั่งเมืองใหญ่ที่สุดของจีน ขณะที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ยังคงไม่แน่ใจว่า มาตรการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันนั้นจะเพียงพอหรือไม่
นอกจากนี้จีนจะยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดในปีนี้ โดยคาดว่าราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.6% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตคาดว่าจะลดลง 1% ซึ่งอ่อนแอกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ในเดือน พ.ค. 67 ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนเป็นปัจจัยบวกหุ้นไทย ! ในส่วนของตลาดหุ้นไทยฝากความหวังไว้กับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน โดยเฉพาะการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดทุนไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท และแนวคิดการฟื้นกองทุนเพื่อการลงทุนระยะยาวในรูปแบบของกองทุนวายุภักษ์ โดยกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 และ 2 มีเม็ดเงินอยู่แล้วราว 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งหากมีการตั้งกองใหม่ขึ้นมา ก็อาจจะขายให้ประชาชนทั่วไปประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยประชาชนจะได้รับการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังคงไม่ชัดเจน โดยล่าสุดกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมระหว่างรอมาตรการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่จะออกมาในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ล่าสุดคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีมติแขวนงบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจในมาตรา 6 งบกลาง ซึ่งเป็นงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไว้ก่อน เนื่องจากพบว่าเอกสารไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ดีธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) คาดว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 2.6% ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวได้จากอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะอยู่ที่ 35.5 ล้านคน
นอกจากนี้ แรงส่งเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 เริ่มมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ทำให้ภาครัฐสามารถเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณได้มากขึ้น อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในภาคการผลิต และการส่งออกบางหมวดสินค้า อย่างไรก็ดี ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการในระยะต่อไป
ส่วนประเด็นความเสี่ยงที่อาจจะกดดันตลาดหุ้นไทยและโลกหลังจากนี้คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปลายปี โดยที่ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล 16 รายได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก เพื่อเตือนถึงสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ คว้าชัยในศึกเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งจนถึงขณะนี้ นายทรัมป์ได้เสนอให้ลดภาษีนิติบุคคลเป็นการถาวร โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับการนำเข้าทั้งหมด โดยเฉพาะภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60%-100% และกดดันคณะกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ล่าสุดราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 81 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ที่อาจลุกลามกลายเป็นการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ และอาจส่งผลให้อิหร่านเข้าร่วมการทำสงครามดังกล่าว ซึ่งจะกระทบต่ออุปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า กลุ่มกบฏฮูตีได้ทำการโจมตีเรือสินค้าในทะแดง และได้ส่งโดรนหลายลูกพุ่งเป้าโจมตีเรือที่ท่าเรือไฮฟาของอิสราเอล
นอกจากนี้ความขัดแย้งกันของกระทรวงคลังและแบงก์ชาติ เป็นประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามด้วย โดยเฉพาะล่าสุดการที่กระทรวงคลังอยู่ระหว่างหารือรายละเอียดของการทบทวนกรอบเงินเฟ้อในปัจจุบันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ โดยเบื้องต้นมี 2 ทางเลือก คือ ใช้รูปแบบเดิม ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 1-3% ส่วนจะเพิ่มหรือจะลดลงหรือไม่ยังอยู่ระหว่างพิจารณา และ 2. ใช้ในลักษณะค่ากลางเหมือนในบางประเทศ เช่น ค่ากลางที่ 2% บวกลบ 0.5% ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการปรับกรอบเงินเฟ้อ
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งตัวต่ำกว่า 1,400 จุด เน้น “Wait and See” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: TradingView
Comments