top of page
369286.jpg

ตลาดหุ้นโลกยังไปต่อ ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีปัจจัยหนุน


ตลาดหุ้นสหรัฐเปลี่ยนกลุ่มเล่น !

           

แนวโน้มของตลาดหุ้นโลกยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ แม้ว่าผู้นำอย่างตลาดหุ้นสหรัฐจะเริ่มส่งสัญญาณของการเปลี่ยนกลุ่มเล่น หรือ Sector Rotation แล้ว สะท้อนจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ถูกเทขายในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า Magnificent Seven หรือ 7 นางฟ้า หลังจากที่นักลงทุนเริ่มโยกย้ายการลงทุนออกจากกลุ่มหุ้นที่มีมูลค่าในปัจจุบันสูงเกินจริง ไปยังกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าในช่วงก่อนหน้านี้เช่นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ทั้งนี้หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจได้รับแรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นปานกลางในเดือน มิ.ย. 67 ซึ่งตอกย้ำถึงภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอลง และอาจทำให้เฟดเริ่มผ่อนคลายนโยบายในเดือน ก.ย. 67

           

โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ประจำเดือนมิถุนายนรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับรายปีสอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และลดลงต่อเนื่องจากระดับ 2.6%เมื่อเทียบกับตัวเลขเดือน พ.ค. 67 ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน มิ.ย. 67 เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เท่ากับระดับ 2.6% ในเดือน พ.ค. 67

           

ทั้งนี้ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ส่งผลให้ล่าสุดนักลงทุนเทน้ำหนัก 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ในเดือน ก.ย. 67 นอกจากนี้นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. 67, พ.ย. 67 และ ธ.ค. 67 สะท้อนออกมาจากการที่ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 89.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. 67 ขณะที่ให้น้ำหนัก 10.2% และ 0.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% และ 0.75% ในเดือนดังกล่าวตามลำดับ

           

นอกจากนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 60.4% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือน พ.ย. 67 หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 57.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และนักลงทุนให้น้ำหนัก 56.4% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือน ธ.ค. 67 หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 49.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่แนวโน้มทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองคาดการณ์ GDPNowล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.8% ในไตรมาส 3 ปี 2567 ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาสที่ 1 และ 2.8% ในไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ดีความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยของเฟดมีเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 66.4 ในเดือน ก.ค. 67 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน แม้ว่าจะสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 66.0 แต่ลดลงจากระดับ 68.2 ในเดือน มิ.ย. 67 ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะเดียวกันผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 2.9% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน และลดลงจากระดับ 3.0% ในเดือนที่แล้ว

           

ตลาดหุ้นไทยเริ่มรับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจ ! ในส่วนของตลาดหุ้นไทย ดูเหมือนกำลังค่อยๆ รับปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยที่ล่าสุดกระทรวงการคลังได้เปิดเผยการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% (กรอบ 2.2-3.2%) ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.4% เมื่อเดือน เม.ย. 67 โดยเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว ทั้งในมิติของจำนวนนักท่องเที่ยว และรายจ่ายต่อหัวนักท่องเที่ยวที่สูงกว่าประมาณการในครั้งก่อน ซึ่งคาดว่าในปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 36 ล้านคน ขยายตัว 27.9% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 35.7 ล้านคน และรายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว คาดอยู่ที่ 47,000 บาท/คน/ทริป โดยรวมภาคการท่องเที่ยวจะสร้างรายได้กว่า 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.4% นอกจากนี้การส่งออกมีสัญญาณขยายตัวดีกว่าที่คาด โดยปีนี้คาดจะขยายตัวได้ 2.7% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% เป็นผลจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัวได้ดีขึ้นโดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา จีน และยูโรโซน

           

โดยตัวเลขการประมาณการ GDP นี้ ไม่ได้นับรวมผลที่คาดว่าจะได้รับในระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะส่งผลช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.8% ตลอดทั้งโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของเงิน เงื่อนไขโครงการ และจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับสิทธิ์ เมื่อประกอบกับปัจจุบันมีมาตรการที่ออกมาบางส่วนแต่ยังไม่มีผล เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ของออมสิน วงเงิน 100,000 ล้านบาท และจะมีมาตรการสิน.

เชื่อต่างๆ ที่จะออกมาอย่างต่อเนื่อง มาตรการภาษีที่จะเข้าไปดูแลและดึงดูดการลงทุน ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 3%

           

ขณะที่ประเด็นที่มีหลายฝ่ายแสดงความกังวลกับคดีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัยวันที่ 14 ส.ค. 67นี้ ว่าจะส่งผลกระทบกับโครงการดิจิทัลหรือไม่นั้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต้องเดินต่อไป ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความผันผวนของค่าเงินบาท แผนการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต โอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงปลายปี 2567 และเสถียรภาพการเมืองไทยที่ยังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ในเชิงเทคนิคของตลาดหุ้นไทย การฟื้นตัวต่อเนื่องของดัชนี SET ตั้งแต่บริเวณ 1,345 จุดวันที่ 13 ธ.ค. 66 จะมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่บริเวณ Fib Node 0.382 และ 0.618 หรือ 1,447 และ 1,497 จุดตามลำดับ ซึ่งตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถขยับตัวขึ้นมายืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้ การดีดตัวขึ้นมาในรอบนี้ยังคงมองเป็นแค่การ Technical Rebound เท่านั้น

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งตัวต่ำกว่า 1,400 จุด เน้น “Wait and See” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”  

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

6 views

Comments


bottom of page