top of page

โฟกัสของตลาดหุ้น 2568อยู่ที่ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ


สหรัฐยังหนุนตลาดหุ้นโลก !

           

ในปี 2568 มีความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นโลกจะเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด หลังจากที่ล่าสุดโกลด์แมน แซคส์ ปรับเปลี่ยนการคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำ โดยได้เลื่อนการคาดการณ์ที่ว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ออกไปเป็นช่วงกลางปี 2569 จากเดิมที่คาดว่าราคาทองจะแตะที่ระดับดังกล่าวภายในสิ้นปี 2568 เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงในปีนี้ ทั้งนี้การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ช้าลงในปี 2568 จะส่งผลให้ความต้องการการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำลดน้อยลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะแตะที่ระดับ 2,910 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยมีความเป็นไปได้ที่ความต้องการเก็งกำไรที่ลดน้อยลงและการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นนั้น จะส่งผลให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาทองคำพุ่งขึ้น 27% ในปี 2567 และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด รวมทั้งความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และการที่ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่แรงบวกของทองคำอ่อนแรงลงในช่วงต้นเดือน พ.ย. 67 หลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของ โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ ราคาทองคำได้รับแรงกดดันเนื่องจากเจ้าหน้าที่เฟดได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้นในการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ดีความต้องการทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของราคาในระยะยาว

           

ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นโลก ยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากที่นักลงทุนคลายความกังวลต่อการทำสงครามการค้าของสหรัฐ หลังมีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มีแผนที่จะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้า โดยจะมีการจัดเก็บภาษีศุลกากรต่อทุกประเทศ แต่จะจำกัดเป้าหมายเพียงบางอุตสาหกรรม แทนที่จะเป็นการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในวงกว้าง โดยเขาจะเล็งไปที่อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติหรือต่อเศรษฐกิจสหรัฐเท่านั้น แทนที่จะเป็นการปรับขึ้นภาษีศุลกากรแบบครอบจักรวาล หรือ Universal Tariffs ต่อทุกภาคอุตสาหกรรมจำนวน 10%-20% ตามที่เขาได้ประกาศในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

           

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้น 259,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 8.098 ล้านตำแหน่งในเดือน พ.ย. 67 จากระดับ 7.839 ล้านตำแหน่งในเดือน ต.ค. 67 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.70 ล้านตำแหน่ง สอดคล้องกับการที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.1 ในเดือน ธ.ค. 67 จากระดับ 52.1 ในเดือน พ.ย. 67 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.3 ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.7% ในไตรมาส 4 ปี 2567 ต่อเนื่องจากที่ขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1, 3.0% ในไตรมาส 2 และ 2.8% ในไตรมาส 3 แม้ว่าในระยะสั้นความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐจะมีเพิ่มขึ้นแน่นอน หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 67 หลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. 68 และจากนั้นเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงสิ้นปี 2568

           

ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนเฉพาะจากนโยบายรัฐ ! ในส่วนของเอเชียมีปัจจัยหนุนเข้ามา หลังจากมีรายงานว่าตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นได้ขอให้กองทุนรวมรายใหญ่บางแห่งชะลอการขายหุ้นในช่วงต้นปีนี้ เพื่อประคองตลาดในช่วงที่เศรษฐกิจจีนมีความเปราะบาง โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า กองทุนรายใหญ่อย่างน้อย 4 แห่งได้รับการติดต่อจากทั้งสองตลาดหลักทรัพย์ในช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 67 - 3 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา โดยขอความร่วมมือให้เพิ่มน้ำหนักการซื้อมากกว่าการขายในแต่ละวัน ทั้งนี้แรงกดดันดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นจีนเปิดฉากปี 2568 ดิ่งลงหนัก 2.9% ถือเป็นการเปิดตลาดต้นปีที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 จากความกังวลว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจที่กำลังส่งสัญญาณชะลอตัวอยู่แล้ว โดยแหล่งข่าวระบุว่า แม้กองทุนยังสามารถขายหุ้นได้ตามปกติ แต่หากพอร์ตมีการขายสุทธิ ทางกองทุนจะต้องรีบเข้าซื้อเพิ่มเพื่อให้สมดุลตามที่ตลาดหลักทรัพย์แนะนำ

           

ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังคงเปราะบางมาก โดยผลสำรวจจากภาคเอกชนชี้ว่า จำนวนบ้านที่ถูกยึดในจีนเพิ่มสูงขึ้นในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการผิดนัดชำระหนี้บ้าน ท่ามกลางภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่สมดุล โดยรายงานจาก China Index Academy ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์อิสระระบุว่า ในปี 2567 มีบ้านที่ถูกยึดและนำออกประมูลขายถึง 370,000 หลัง เพิ่มขึ้นจาก 364,000 หลังในปี 2566 เมื่อนับรวมการยึดทรัพย์สินทุกประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์, ที่อยู่อาศัย, อุตสาหกรรม, ที่ดิน, โรงจอดรถ และพื้นที่จอดรถ พบว่ามียอดรวม 768,000 หน่วย ลดลงเล็กน้อย 0.9% จากปี 2566 อย่างไรก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายคาดหวังว่า มาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังที่เพิ่งออกมา จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

           

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกสำคัญคือความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบโลกที่จะลดลง หลังมีรายงานว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2567 ลดลง 2% ซึ่งเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการที่ชะลอการขยายตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโรงกลั่นและท่อส่งน้ำมัน ทำให้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าน้ำมัน ขณะที่การหมุนเวียนของน้ำมันดิบทั่วโลกยังคงได้รับผลกระทบเป็นปีที่สองจากสงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง โดยการขนส่งทางเรือได้ถูกปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่ โดยผู้ผลิตและผู้ซื้อได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นภูมิภาคต่าง ๆ ขณะที่การส่งออกน้ำมันจากตะวันออกกลางไปยังยุโรปลดลง และน้ำมันจากสหรัฐและอเมริกาใต้ไหลเข้าสู่ยุโรปมากขึ้น ส่วนน้ำมันจากรัสเซียที่เคยส่งไปยังยุโรปได้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังอินเดียและจีน นอกจากนี้สหรัฐ ซึ่งมีการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นผู้ชนะในการค้าน้ำมันโลก โดยสามารถส่งออกน้ำมันได้วันละ 4 ล้านบาร์เรล และเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดการค้าน้ำมันโลกเป็น 9.5% ตามหลังเพียงซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย

           

ทั้งนี้ในปี 2568 มีการประเมินกันว่าบรรดาซัพพลายเออร์จะยังคงเผชิญกับความต้องการเชื้อเพลิงที่ลดลงของศูนย์กลางการบริโภคหลักๆ เช่น จีน นอกจากนี้ หลายประเทศจะใช้น้ำมันน้อยลง และจะหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มที่จะได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มเติม จากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ที่จะสามารถจ่ายเงินได้ในช่วงตรุษจีนปีนี้ และโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 3 ในรูปแบบดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคาดว่าการพัฒนาระบบน่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. 68 และจะเริ่มดำเนินการจ่ายเงิน 10,000 บาทในกลุ่มถัดไป (เฟส 3) ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ส่วนประเด็นการจัดเก็บภาษีขั้นต่ำจากบริษัทข้ามชาติ (Global Minimum Tax) ในอัตราที่กำหนด 15% ตามหลักการของ Pillar 2 ซึ่งเป็นกติกากลางที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ออกมานั้น คาดว่าจะกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหุ้นไทยในวงจำกัด แต่จะช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างน้อย 12,000 ล้านบาท

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงแกว่งตัวเหนือกว่า 1,360 จุดได้ เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

 

5 views

Comments


bottom of page