top of page
image.png

ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ กดดันตลาดหุ้นโลก



 

ความเชื่อมั่นลดลงมาก !

           

ทิศทางของตลาดหุ้นโลกในระยะสั้นๆ ยังคงผันผวนอย่างมากนะครับ โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเคลื่อนไหวต่างๆ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเป็นหลัก และล่าสุดผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า นักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 19.1% ลดลงจากระดับ 19.3% ในสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนนักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 59.2% เพิ่มขึ้นจากระดับ 57.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าล่าสุดจะมีปัจจัยบวกเข้ามาบ้างจากการที่วุฒิสภาสหรัฐ ได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวที่จะจัดสรรงบให้กับรัฐบาลที่ระดับปัจจุบันไปจนถึงเดือน ก.ย. 68 ซึ่งเป็นการอนุมัติเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่งบประมาณปัจจุบันจะหมดอายุลง และช่วยหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาลได้อย่างเฉียดฉิว โดยที่วุฒิสภาลงมติ 54 ต่อ 46 เสียงเพื่อผ่านร่างกฎหมายนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎร ด้วยคะแนนเสียง 217 ต่อ 213 เสียง โดยร่างกฎหมายนี้จะถูกส่งไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามเป็นกฎหมายต่อไป

           

อย่างไรก็ดีทิศทางของตลาดหุ้นโลก จะยังคงผันผวนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอย โดยล่าสุด เจพี มอร์แกน คาดว่าสหรัฐมีโอกาส 40% ที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ จากเดิมคาดการณ์มีโอกาสที่ระดับ 30% หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 2.4% ในไตรมาส 1/2568 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.3% ในไตรมาสดังกล่าว ซึ่งจากความเสี่ยงดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากนโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐต่างพากันเข้าซื้อกองทุน ETF ทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยราคาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. 68 ปิดตลาดพุ่งขึ้นทะลุระดับ 3,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ

           

หลังจากที่นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือน ม.ค. 68 เขาได้ดำเนินนโยบายอย่างแข็งกร้าว ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐ การประกาศเจตนาที่จะผนวกกรีนแลนด์เข้ากับดินแดนสหรัฐ รวมถึงวิธีการทางการทูตที่ไม่เป็นไปตามแบบแผนเพื่อยุติสงครามในยูเครน ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ได้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ระบุว่ากองทุน ETF ที่จดทะเบียนในยุโรปได้ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 46.7 เมตริกตัน หรือเพิ่มขึ้น 3.6% แตะที่ระดับ 1,334.3 ตัน นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งสวนทางกับช่วงปี 2564-2567 ที่เงินทุนไหลออกจากกองทุนจำนวนมาก

           

ขณะที่ โอเล ฮันเซน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของแซกโซแบงก์ (Saxo Bank) คาดการณ์ว่านโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกระตุ้นให้นักลงทุนเริ่ม “ถอนตัว” ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐและทองคำอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้-อย่างน้อยก็ในระยะสั้น สอดคล้องกับการที่ หลุยส์ เด กินโดส รองประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงความเห็นว่า นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญความไม่แน่นอนยิ่งกว่าช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นความเห็นในทำนองเดียวกับผู้กำหนดนโยบายคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่กำลังก่อตัวขึ้น รวมถึงประธาน คริสติน ลาการ์ด ซึ่งกล่าวว่าการที่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีการค้าทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก

           

จีนยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเอเชียได้ ! นอกจากนี้การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติมด้วย หลังจากที่สหรัฐเปิดฉากโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มฮูตีในกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน โดยการโจมตีดังกล่าวมีเป้าหมายที่คลังกระสุนและคลังจรวดใกล้สถานีโทรทัศน์ของรัฐที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มฮูตี ในย่านอัลจาร์ราฟ ซึ่งการโจมตีทางอากาศครั้งนี้นับเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกที่กองทัพสหรัฐดำเนินการ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. 68 โดยล่าสุดนายพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐประกาศว่าจะเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมนอย่างต่อเนื่อง จนกว่ากลุ่มฮูตีจะยุติการโจมตีเรือสินค้า ขณะที่กลุ่มฮูตีซึ่งได้รับการหนุนหลังจากอิหร่านส่งสัญญาณพร้อมยกระดับการตอบโต้ หลังจากการโจมตีครั้งล่าสุดของสหรัฐ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังส่งสารถึงอิหร่าน ผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มฮูตี ให้ยุติการสนับสนุนโดยทันที

           

อย่างไรก็ดีจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ล่าสุด โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันลง เนื่องจากการตั้งกำแพงภาษีส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของสหรัฐ ประกอบกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เพิ่มกำลังการผลิต โดย โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ 71 บาร์เรลในเดือน ธ.ค. 68 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ 5 ดอลลาร์ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) จะอยู่ที่ 67 ดอลลาร์

           

พร้อมกันนี้ โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ปยังได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของความต้องการน้ำมันลง 18% ในปีนี้ สู่ระดับ 900,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะเดียวกันในฝั่งของเอเชียเอง มีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนน้อยกว่า จากปัจจัยสนับสนุนจากจีน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานยอดค้าปลีกในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 68 ปรับตัวขึ้น 4.0% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในเดือน ธ.ค. 67 ที่เพิ่มขึ้น 3.7% และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่า การบริโภคของจีนขยายตัวรวดเร็วในช่วงต้นปี ขณะเดียวกัน การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 68 ปรับตัวขึ้น 5.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้ว่าชะลอตัวลงจากเดือน ธ.ค. 68 ที่ปรับตัวขึ้น 6.2% แต่ก็ยังขยายตัวรวดเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.3% ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 68 ปรับตัวขึ้น 4.1% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% และเพิ่มขึ้นอย่างมากจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ปรับตัวขึ้น 3.2%

           

นอกจากนี้ล่าสุดสำนักงานทั่วไปแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศ "แผนปฏิบัติการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค" โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูการบริโภคในจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งแผนการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้มีความแข็งแกร่ง เพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ และปรับปรุงความสามารถในการบริโภคด้วยการเพิ่มรายได้และลดภาระให้กับผู้บริโภค ซึ่งแผนการนี้ยังครอบคลุมถึงภาคส่วนอื่น ๆ เช่น การใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ การเพิ่มรายได้ของประชาชน และการเสนอแรงจูงใจเพื่อเพิ่มอัตราการเกิดของประเทศ

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”  

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

 

Opmerkingen


bottom of page