
ความเสี่ยงยังมีอยู่มาก!
แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นโลกจะมีปัจจัยบวกขึ้นมาได้บ้างจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เปิดเผยท่าทีว่าจะมีการใช้ความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งสหรัฐมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย. 68 นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังระบุว่าเขามีแผนที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำจีน หลังจากที่จีนประกาศเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าเกษตรของสหรัฐเพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าจีน โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าวันที่ 2 เม.ย. 68 จะเป็น “วันแห่งการปลดปล่อย” สำหรับอเมริกา เนื่องจากเป็นวันที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศที่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าสหรัฐ และแม้ว่าบางประเทศไม่ได้เรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าสหรัฐ แต่ได้มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ประเทศนั้นๆ ก็จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้เช่นกัน
ทั้งนี้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือการที่ภาษีศุลกากรซึ่งสหรัฐเรียกเก็บ จะเป็นรายภาคอุตสาหกรรม เช่น ภาษีนำเข้ารถยนต์และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไม่ประกาศใช้ในเวลาเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เน้นย้ำหลายต่อหลายครั้งว่า ภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5% ในปัจจุบันนั้นจะประกาศใช้ในวันที่ 2 เม.ย. 68 ซึ่งเขาเรียกว่า "วันแห่งอิสรภาพ" (Liberation Day) สำหรับอเมริกา
อย่างไรก็ดีนักลงทุนยังมีความกังวลว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เน้นย้ำว่าเฟดจะไม่เร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากนี้ เฟดปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.1% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 2.8% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.5% ในสถานการณ์ที่ธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -1.8% ในไตรมาส 1/2568
ขณะที่ก่อนหน้านี้ GDPNow คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.3% ซึ่งความกังวลดังกล่าว สะท้อนออกมาผ่านผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) ที่ระบุว่านักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 58.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 21.6% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5%
นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวน 20.3% มีมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอดีตที่ระดับ 31.5% ในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงอื่นก็ได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นใจของนักลงทุนด้วย โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบโลก แม้ว่าในระยะสั้นๆ จะมีปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐออกมาตรการคว่ำบาตรต่อน้ำมันของอิหร่าน รวมทั้งมีรายงานการปรับลดกำลังการผลิตของสมาชิก 7 ชาติของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส
ทั้งนี้สหรัฐออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่เกี่ยวข้องกับน้ำมันอิหร่าน โดยมีเป้าหมายรวมถึงโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กของจีน และเรือที่จัดส่งน้ำมันดิบให้กับโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าว ขณะที่จีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดจากอิหร่าน นอกจากนี้ สมาชิก 7 ชาติของโอเปกพลัสเตรียมลดกำลังการผลิตราว 189,000-435,000 บาร์เรล/วัน จนถึงเดือน มิ.ย. 69 เพื่อชดเชยกับการที่สมาชิก 8 ชาติของโอเปกพลัสจะเพิ่มกำลังการผลิต 138,000 บาร์เรล/วันตั้งแต่เดือน เม.ย. 68
แบงก์ชาติจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยค้ำเศรษฐกิจ ! ในส่วนของตลาดหุ้นเอเชีย ล่าสุด นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีนออกมาระบุว่า จีนเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกที่อาจรุนแรงกว่าคาดการณ์ จากการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรระลอกใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ต่อประเทศคู่ค้าในเดือนเมษายน ขณะเดียวกัน นายหลี่ ยังย้ำคำมั่นของธนาคารกลางจีน (PBOC) ว่า ผู้กำหนดนโยบายจะลดอัตราดอกเบี้ยและสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม รวมถึงให้การสนับสนุนเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ถ้อยแถลงของ นายหลี่ มีขึ้นขณะที่จีนพยายามดึงดูดธุรกิจต่างชาติอีกครั้ง หลังจากการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงในปีที่แล้วแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี
อย่างไรก็ดีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการที่ นายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แถลงต่อรัฐสภาว่า หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเข้าใกล้เป้าหมายที่ 2% ทางธนาคารจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้อาจส่งผลให้ขาดทุนจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) ในพอร์ตการลงทุนก็ตาม โดยที่ในเดือน ธ.ค. 68 ที่ผ่านมา BOJ ได้เปิดเผยประมาณการผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต โดยคาดว่าหากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นปรับขึ้นไปที่ระดับ 2% อาจทำให้ BOJ ขาดทุนสูงถึง 2 ล้านล้านเยน (1.33 หมื่นล้านดอลลาร์) แม้ว่าในการประชุมครั้งที่ผ่านมา BOJ ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมส่งสัญญาณเตือนถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยชี้ว่า จังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะขึ้นอยู่กับผลกระทบจากการที่สหรัฐอาจปรับขึ้นภาษีนำเข้าเป็นสำคัญ สวนทางกับเศรษฐกิจสิงคโปร์ที่ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติสิงคโปร์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือน ก.พ. 68 เมื่อเทียบเป็นรายปีซึ่งเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดในรอบ 4 ปี และชะลอตัวลงจากเดือน ม.ค. 68 ที่ปรับตัวขึ้น 1.2%
ทั้งนี้ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1.5-2.5% เมื่อเทียบกับระดับ 2.4% ในปี 2567 ขณะเดียวกัน MAS ได้ปรับลดคาดการณ์ดัชนี CPI พื้นฐานในปี 2568 สู่ระดับเฉลี่ย 1-2% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1.5-2.5%
นอกจากนี้ MAS คาดการณ์ว่าการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2568 จะอยู่ที่ระดับ 1-3% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 4.4% ในปี 2567
ในส่วนของประเทศไทย นักวิเคราะห์จาก โนมูระ โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจกลายเป็นธนาคารกลางที่ต้องเริ่มวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเชิงรุกมากที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซาอยู่แล้วนั้นกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลง โดย ธปท. อาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 1% ในปีหน้า ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา คาดว่า ธปท.จะปรับลดดอกเบี้ย 0.75% ในปีหน้า
โดยการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ทั้งสองสำนักบ่งชี้ว่า ธปท.มีแนวโน้มที่จะเป็นธนาคารกลางที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ ธปท.พยายามหลีกเลี่ยงการปรับลดดอกเบี้ยแม้จะเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองก็ตาม
ขณะที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานการแสดงความเห็นของนักวิเคราะห์จากโนมูระว่า ประเทศไทยไม่เพียงฟื้นตัวช้าหลังโควิด แต่ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ “มีความเปราะบางต่อมาตรการกีดกันทางการค้ามากที่สุด” ทั้งนี้ความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไทยซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับอุปสรรคครั้งใหญ่ เนื่องจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของไทยเริ่มซบเซา ซึ่งปัจจัยนี้ถือเป็นการซ้ำเติมปัญหาเดิมที่ไทยเผชิญอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตที่อ่อนแอ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และการบริโภคที่ซบเซา ซึ่งทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ในส่วนของกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ
Comments