top of page
379208.jpg

ยังคงมีลุ้นยืนเหนือ 1,500 จุดได้เพื่อไปต่อ


ภาพส่วนใหญ่เป็นบวกชัดเจน!

ตลาดหุ้นโลกในปีนี้ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง หลังจากที่ Joe Biden เปิดเผยมาตรการ American Rescue Plan ซึ่งครอบคลุมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากระดับ 7.25 ดอลลาร์/ชั่วโมงในปัจจุบัน สู่ระดับ 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง และเพิ่มวงเงินในการส่งเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันเป็นคนละ 2,000 ดอลลาร์ จากเดิมที่ได้คนละ 600 ดอลลาร์

นอกจากนี้ยังเพิ่มวงเงินช่วยเหลือคนตกงานเป็น 400 ดอลลาร์/สัปดาห์ และขยายโครงการช่วยเหลือไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2564 โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่แผนช่วงแรกเท่านั้นที่ต้องทำเร่งด่วน และจะมีการเสนอที่จะช่วยเรื่องวิจัยพัฒนา, พลังงานสะอาด, นวัตกรรม และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ออกมาอีกในอนาคต

ขณะที่ในด้านของการประมาณการทางเศรษฐกิจ ล่าสุด Goldman Sachs ได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีการขยายตัว 6.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 5.6% ขานรับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ภายใต้รัฐบาลของ Joe Biden สอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ล่าสุดตัวเลข Initial Jobless Claim เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 965,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2563 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 795,000 ราย โดยเป็นผลจากการให้มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพิ่มเติมเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

ทั้งนี้แนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐในฐานะตัวแทน หรือ Proxy ของตลาดหุ้นโลก สะท้อนออกมาจากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 3.07% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 45.20%

ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ ลดลง 1.80% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 31.70% ส่วนมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging market ซึ่งมีประเทศไทยอยู่ในนั้นด้วย

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ +41.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งดีกว่ามากเมื่อเทียบกับมูลค่าซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในประเทศภูมิภาคเอเชียอื่นๆ อาทิ อินโดนีเซีย -5.1 ล้านดอลลาร์, ฟิลิปปินส์ +4.3 ล้านดอลลาร์ และเกาหลีใต้ -402.7 ล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับการที่ในเชิงของเทคนิคที่ Indicator อย่าง MACD ของดัชนี Accumulated Foreign Fund Flow กลับมามีสัญญาณ Positive Convergence อีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการไหลเข้ามาของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น

มุมมองต่อพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเริ่มดีขึ้น ! นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลก และไทยยังคงมีแนวโน้มที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นต่อความสามารถในการทำกำไรในตลาดหุ้นโลกด้วย สะท้อนจากการปรับประมาณการการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2564 หรือ Earnings Revision ขึ้นโดย Bloomberg Consensus ที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับการประมาณการกำไรสุทธิของตลาดหุ้นโลกขึ้น +0.16% นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐ +0.33%, ตลาดหุ้นยุโรป +0.53% WoW, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น +0.19%, ตลาดหุ้นจีน +0.08% และตลาดหุ้นไทย +0.21% ส่งผลให้แนวโน้มการขยายตัวของกำไรสุทธิในปี 2564 ของตลาดหุ้นไทยที่ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 44.0% สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับการขยายตัวของกำไรสุทธิในปี 2564 ของตลาดหุ้นโลกที่ +20.9%, ตลาดหุ้นสหรัฐที่ +18.6%, ตลาดหุ้นยุโรปที่ +34.4%, ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ +4.6%) และตลาดหุ้นจีนที่ +17.8%

ทั้งนี้นอกจากการที่ตลาดหุ้นไทยจะได้ประโยชน์ในด้านของความเชื่อมั่น หรือ Sentiment จากมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นการบริโภค ทั้งในส่วนของเงินเยียวยารอบ 2 ให้ผู้ได้รับผลกระทบคนละ 3,500 บาท/เดือน เป็นเวลา 2 เดือน และช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟระหว่าง ก.พ.-มี.ค. 64 และโอกาสในการล็อกดาวน์ประเทศเพิ่มเติมที่ลดน้อยลงแล้ว ในเชิงเทคนิคของตลาดหุ้นไทย การที่ SET สามารถทะลุผ่าน 1,500 จุดมาได้ ทำให้ “นายหมูบิน” มองว่าตราบใดที่ SET ยังคงหมุนลงไปต่ำกว่า 1,500 จุดอีกครั้ง ในระยะสั้น SET ยังคงอยู่ในทิศทางของการแกว่งตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ดีกรอบการแกว่งขึ้นอาจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากในเชิงพื้นฐานปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับ P/E ratio ราว 26.2 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ระดับ 17.0 เท่าค่อนข้างมาก หรือคิดเป็น Premium ที่ถึง 54.1%

นอกนี้ถ้าเทียบกับระดับ P/E ratio ของดัชนี MSCI Asia ex Japan ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 24.8 เท่าถือว่าตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคโดยเฉลี่ย

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า 1,500 จุดอีกครั้ง เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,500 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายเดือน (Monthly)

Source: Wealth Hunters Club



7 views

Comments


bottom of page