ความไม่แน่นอนทางการค้า กดดันตลาดหุ้นโลก
- Dokbia Online
- 14 hours ago
- 2 min read

จีนพร้อมตอบโต้ทุกประเทศ !
สงครามการค้าที่เกิดขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ต่างประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งกันและกัน โดยสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตราสูงถึง 145% ทำให้ทางการจีนตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษีสหรัฐ ในอัตรา 125% ยังคงขยายวงต่อเนื่อง โดยล่าสุดจีนออกโรงเตือนประเทศต่างๆ อย่ายอมทำข้อตกลงเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐในลักษณะที่จะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของจีน ระบุจีนไม่ยอมรับสถานการณ์ดังกล่าว และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด
โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่า จีนเคารพสิทธิของแต่ละประเทศที่จะเจรจาและแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐบนพื้นฐานของความเท่าเทียม แต่ขอยืนกรานคัดค้านอย่างหนักแน่น หากมีประเทศใดทำข้อตกลงที่ส่งผลเสียต่อจีน และหากประเทศใดเลือกแนวทางดังกล่าว จีนจะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด โดยที่จีนมองว่าการกระทำของสหรัฐเป็นการใช้หลักแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อเป็นข้ออ้างของการเมืองแบบครองอำนาจนำ และเป็นการกลั่นแกล้งฝ่ายเดียวในด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ โฆษกกล่าว โดยอ้างถึงรายงานข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมกดดันประเทศต่างๆ ให้ลดหรือจำกัดการค้ากับจีน เพื่อแลกกับการได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า หลังจากที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่า ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลง 10.8% สู่ระดับ 2.692 แสนล้านหยวน (ประมาณ 3.735 หมื่นล้านดอลลาร์) อย่างไรก็ดีเมื่อแยกเป็นรายภูมิภาคและรายประเทศพบว่า เม็ดเงิน FDI จากกลุ่มประเทศอาเซียนที่ไหลเข้าสู่จีนพุ่งขึ้น 56.2% ในไตรมาส 1 ขณะที่เม็ดเงิน FDI จากสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 11.7% ส่วนเม็ดเงิน FDI จากสวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 76.8%, 60.5%, 29.1% และ 12.9% ตามลำดับ ขณะที่จีนเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในไตรมาสแรกของปี 2568 อย่างรวดเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกนับตั้งแต่ปี 2565 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากความต้องการในต่างประเทศที่ลดลง ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงกับสหรัฐซึ่งจีนจำเป็นต้องเร่งใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ อาจทำให้การส่งออกของจีนหดตัว ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซามาหลายปีและภาวะเงินฝืดยังคงกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ
ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจของจีนยังคงเติบโตในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 68 แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาส 2 หลังจากกระแสการเร่งส่งออกและมาตรการกระตุ้นการบริโภคสิ้นสุดลง ทั้งนี้ข้อมูลของกระทรวงการคลังจีน บ่งชี้ว่า การใช้จ่ายรวมจากงบประมาณสาธารณะและบัญชีกองทุนของรัฐบาลซึ่งเป็นงบการคลังหลักสองประเภทของจีนอยู่ที่ 9.26 ล้านล้านหยวน (1.3 ล้านล้านดอลลาร์) ในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 3 ปีสำหรับไตรมาสแรก
ในส่วนของสหรัฐเองก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อเนื่อง หลังนายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคณะทำงาน ยังคงทำการศึกษาเกี่ยวกับการปลด นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหานายพาวเวลว่าเล่นการเมือง โดยการไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่ว่าจะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันดีกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือน พ.ค. 69 ขณะที่นายออสติน กูลส์บี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก ระบุว่าการที่เฟดหรือธนาคารกลางใดๆ มีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินและไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสหรัฐ ! อย่างไรก็ดีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐจากการขึ้นภาษีเป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นโลกกังวลมากที่สุด โดยที่นางแมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโก ระบุว่า ถึงแม้เธอจะยังคงเห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้ แต่ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่า เฟดอาจต้องปรับลดดอกเบี้ยน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าสหรัฐ ลดลงอย่างมากในเดือน มี.ค. 68 โดยลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้จำนวนนักเดินทางจากแคนาดา ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของผู้เดินทางเยือนสหรัฐนั้น ลดลงถึง 18% ในเดือน มี.ค. 68 หลังจากที่ลดลงแล้ว 12.5% ในเดือน ก.พ. 68 ขณะเดียวกัน จำนวนผู้เดินทางทางอากาศจากเม็กซิโกลดลงถึง 23% ในเดือน มี.ค. 68 นอกนี้ล่าสุดดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส (DHL Express) ประกาศระงับการจัดส่งพัสดุแบบธุรกิจถึงผู้บริโภค (Business-to-Consumer) ที่มีมูลค่าเกิน 800 ดอลลาร์จากทุกประเทศไปยังสหรัฐอเมริกา จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับคนสหรัฐอย่างมาก
ประกาศดังกล่าวทำให้การส่งพัสดุจากบริษัทต่างๆ ทั่วโลกไปยังผู้บริโภคในสหรัฐต้องหยุดชะงักลงบางส่วน อย่างไรก็ดี การส่งพัสดุแบบธุรกิจถึงธุรกิจ (Business-to-Business) ยังคงให้บริการตามปกติ แต่อาจมีความล่าช้า ส่วนพัสดุที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านศุลกากรเมื่อวันที่ 5 เม.ย. อันเนื่องมาจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกำหนดให้พัสดุทุกชิ้นที่มีมูลค่าเกิน 800 ดอลลาร์ต้องผ่านขั้นตอนศุลกากรแบบเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้การขนส่งล่าช้าออกไป จากเดิมที่กำหนดให้พัสดุที่มีมูลค่าเกิน 2,500 ดอลลาร์ต้องผ่านขั้นตอนศุลกากรแบบเป็นทางการ เช่นเดียวกับการที่โบอิ้ง (Boeing) นำเครื่องบินโดยสาร 737 MAX ซึ่งมีแผนที่จะส่งมอบให้กับสายการบินเซี่ยเหมิน แอร์ไลน์ (Xiamen Airlines) ของจีน ออกเดินทางจากศูนย์ส่งมอบในเมืองโจวซาน มณฑลเจ้อเจียงของจีน เดินทางกลับฐานการผลิตในเมืองซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกาแล้ว
นอกจากนี้รายงานระบุว่า ณ ศูนย์ส่งมอบในเมืองโจวซาน ยังมีเครื่องบิน 737 MAX อีกหลายลำที่รอส่งมอบให้กับสายการบินจีน และโบอิ้งอาจต้องทยอยนำกลับสหรัฐต่อไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทางการจีนได้สั่งการให้สายการบินต่างๆ ในประเทศ งดรับมอบเครื่องบินโบอิ้งล็อตใหม่ เพื่อตอบโต้การตัดสินใจของสหรัฐที่ประกาศตั้งกำแพงภาษี 145% กับสินค้าจากจีน นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ร้องขอให้สายการบินจีนระงับการจัดซื้ออุปกรณ์และชิ้นส่วนอากาศยานจากบริษัทสัญชาติอเมริกันเจ้าต่างๆ อีกด้วย ซึ่งความไม่พอใจในนโยบายต่างๆ ของสหรัฐ สะท้อนออกมาจากการที่มีผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนรวมตัวกันในกรุงวอชิงตันและตามเมืองต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อประท้วงนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งเรื่องการเนรเทศผู้อพยพ การปลดเจ้าหน้าที่รัฐ การตัดงบมหาวิทยาลัย รวมถึงสงครามในกาซาและยูเครน รวมทั้งยังมีการประท้วงตามหน้าโชว์รูมรถเทสลา (Tesla) เพื่อต่อต้านมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาคนสำคัญของทรัมป์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดขนาดของรัฐบาลกลางจนนำไปสู่การเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ
Comments