top of page
image.png

ตลาดหุ้นโลกผันผวนจะเป็นโอกาส ?



พักฐานระยะสั้น !

ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่แนวโน้มของการพักฐานในระยะสั้นอีกครั้งนะครับ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกปรับตัวลดลง 2.84% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี 2565 ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวลดลงแล้ว 3.89% YTD โดยตลาดหุ้นสหรัฐ และญี่ปุ่นเป็นตลาดหุ้นหลักที่กดดันทิศทางของตลาดหุ้นโลก ปรับตัวลดลงถึง 3.78% และ 3.34% ตามลำดับ

สาเหตุของการปรับตัวลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐ เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดี Joe Biden ได้ประกาศสนับสนุนให้นาย Jerome Powell รมว.คลัง เริ่มใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน และลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด เคยนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก ซึ่งประธานาธิบดี Joe Biden มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และย้ำว่าภารกิจของเฟดคือการควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือ US Government Bond Yield ของสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งแตะ 1.87% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 62 ขณะที่ดัชนี VIX Index ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความผันผวน และมีความสัมพันธ์เชิงลบ หรือ Negative Correlation กับตลาดหุ้นของสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงปรับตัวขึ้น 42.23%, 10.52% และ 8.97% ตามลำดับ

สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้าเป็นขาขึ้น หรือ Bullish นั้นลดลง 3.9% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 21.0% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish นั้นลดลง 8.4% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 46.7% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ขอเข้ารับสวัสดิการการว่างงานเป็นครั้งแรก หรือ Initial Jobless Claim ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 286,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 64 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 225,000 ราย รวมทั้งสูงกว่าตัวเลขที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 231,000 ราย เป็นปัจจัยที่น่าติดตามต่อว่าสถานการณ์ของตลาดแรงงานสหรัฐในระยะต่อไป จะยังคงแข็งแกร่ง และสนับสนุนให้เฟดดำเนินมาตรการเชิงรุกต่อเนื่องได้หรือไม่

ขณะที่ธนาคารกลางสำคัญๆ อื่นโดยเฉพาะในเอเชียยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยที่ธนาคารกลางจีน หรือ PBOC ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภท 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง 0.1% สู่ระดับ 2.85 ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 นอกจากนี้ PBOC ยังได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินจำนวน 2 แสนล้านหยวน หรือ 3.15 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ มีมติคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (Ultra loose Monetary Policy) ซึ่งรวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และคงเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไว้ที่ประมาณ 0% นอกจากนี้ BOJ มองว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในปัจจุบันหรือหารือเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเชื่อว่า การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น

นโยบายรัฐบาลเป็นปัจจัยหนุนในระยะสั้น ! ในส่วนของตลาดหุ้นไทยผ่านมุมมองในเชิงเทคนิคตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า EMA 75 วัน (ล่าสุดอยู่ที่ 1,637 จุด) อีกครั้ง แนวโน้มใหญ่ในราย 3 เดือนที่เป็นขาขึ้นจะยังคงอยู่ แต่ถ้าปิดต่ำกว่า 1,637 จุดลงมา การลงทุนระยะ 3 เดือนค่อยลดพอร์ตออกมาว่ากันใหม่

ส่วนการลงทุนระยะ 1 ปี ตราบใดที่ SET ยังคงยืนเหนือ EMA 200 วัน (ล่าสุดอยู่ที่ 1,591 จุด) ได้ ยังไม่มีอะไรน่ากังวล โดยที่ปัจจัยในประเทศที่สามารถสนับสนุนตลาดหุ้นไทยได้ จะเป็นในส่วนของมาตรการภาครัฐ หลังรัฐบาลมีการปรับมาตรการต่างๆ ให้ผ่อนคลายขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดในไทยเริ่มทรงตัว โดยเฉพาะการขยายระยะเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปอีกสิ้นสุด 31 มี.ค. 65 และปรับลดพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) เหลือ 44 จังหวัด จาก 69 จังหวัด โดยให้ปรับเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 25 จังหวัด และคงพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 8 จังหวัด รวมทั้งเปิดลงทะเบียน Test & Go ได้อีกครั้ง ตั้งแต่ 1 ก.พ. 65 โดยปรับเป็นการตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง

นอกจากนี้กระทรวงการคลังได้ปรับเวลาโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ให้เร็วขึ้น เดิมจะเริ่มวันที่ 1 มี.ค. -30 เม.ย. 65 มาเป็นลงทะเบียนยืนยันตัวตนในวันที่ 14 ก.พ.65 และเริ่มใช้วงเงินได้ 21 ก.พ. 65 ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ยังได้ประกาศให้เนื้อไก่เป็นสินค้าควบคุมราคา เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาสินค้าแพง

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เมื่อ SET ยังคงปิดเหนือ 1,600 จุดได้ เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,600 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club



 

Comments


bottom of page