ซูมิโตโม ถือหุ้น บลจ.ไอร่า

ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ แบงก์ (ไทย) หรือ SMTBT เข้าลงทุนซื้อหุ้น บลจ.ไอร่า 10% จากไอร่า แคปปิตอล ช่วยเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งด้านการให้บริการทางการเงินและการลงทุนด้าน Wealth Management และ Private Fund สู่การขยายฐานกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศไทย และ ประเทศญี่ปุ่น

นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล “AIRA” เป็นตัวแทนลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอร่า (บลจ.ไอร่า) ให้กับ บริษัท ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ แบงก์ (ไทย) ในสัดส่วนร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียน

การเข้ามาถือหุ้นของซูมิโตโมฯ ครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือทางธุรกิจครั้งสำคัญของกลุ่ม บริษัทไอร่า กับ กลุ่มพันธมิตร ด้วยความเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น อย่าง ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ แบงก์ (Sumitomo Mitsui Trust Bank) เพราะเท่ากับความมั่นใจในกลุ่มไอร่า จึงพร้อมตกลงร่วมธุรกิจ

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจากการระบาดของ COVID-19 แต่กลุ่มไอร่า ก็ยังคงเติบโตได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมองว่าปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นตัวแปรที่ทำให้ SMTB ให้เกียรติในการส่ง SMTBT เข้าร่วมลงทุน ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอร่า”

การร่วมลงทุนในครั้งนี้ จะส่งผลดีและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัททั้ง 2 เนื่องจากเป็นการช่วยกันเสริมศักยภาพความแข็งแกร่ง โดยการเพิ่มช่องทางการให้บริการทางการเงินและการลงทุน สู่การขยายฐานกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น ผ่านการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายที่ครอบคลุมเทียบชั้นมาตรฐานโลก และพร้อมที่จะขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ยังจะเป็นผลดีต่อ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอร่า ในการให้บริการลูกค้า ในด้าน Wealth Management และ Private Fund ซึ่งปัจจุบันได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล และได้รับอนุญาตเป็นตัวแทนขายกองทุนรวมจาก ก.ล.ต.

ปัจจุบันทาง ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ แบงก์ มีมูลค่าตลาดรวม 1.5 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 410,000 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 60 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 16.2 ล้านล้านบาท และซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ แบงก์ (ไทย) เป็นธนาคารพาณิชย์ ในกลุ่ม SMTB ที่ตั้งในประเทศไทยโดย ได้รับใบอนุญาตและเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 มีสินทรัพย์ 85,000 ล้านบาท มูลค่าสินทรัพย์สุทธิในปี 2564 เป็นจำนวน 20,000 ล้านบาท