
บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและไทย เปลี่ยนจากภาวะ reflation เข้าสู่ภาวะ stagflation ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SET Index ที่ 1,660 จุด โดยคาดกรอบการเคลื่อนไหว 1,550-1,780 จุด แนะกลยุทธ์การลงทุน ส่องหุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและมาร์จิ้นมีเสถียรภาพ
บล.ไทยพาณิชย์มองแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงจากราคาน้ำมันและราคาพลังงานอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อเนื่องให้ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าคาด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) กล่าวว่า ต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลทำให้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตลงและทำให้เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ทั้งนี้แม้ว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ แต่จะเกิดภาวะถดถอยที่ไม่รุนแรงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันไม่ได้มีความไม่สมดุลมากจนต้องแก้ไขให้เกิดความสมดุลควบคู่ไปกับการผ่อนคลาย ข้อจำกัดการเดินทางและการเปิดประเทศ เป้า SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,660 จุด เข้าซื้อที่ 1,550-1,600 จุด ขณะที่ระดับขายทำกำไรอยู่ที่สูงกว่า 1,780 จุด โดยคาดว่า SET จะปรับฐานเล็กน้อยในไตรมาส 2 เพื่อซึมซับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ขณะที่ครึ่งปีหลัง จะมีโมเมนตั้มที่ดีขึ้นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย
ประกอบกับฐานต่ำของปีก่อนมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ Sell in May อย่างไรก็ตามการย่อตัวลงเป็นโอกาสที่ดีในการสร้าง position เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะเกิดภาวะ quasi-reflation ในครึ่งปีหลัง
ด้านเศรษฐกิจไทยผลกระทบจากวิกฤตรัสเซียโดยตรงอาจไม่มากนัก แต่ผลกระทบโดยอ้อมผ่านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับเงินเฟ้อและนโยบายการเงินมากกว่า วิกฤตพลังงานทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นความเสี่ยงด้านนโยบายที่อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.63% ในขณะที่ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ย่อมมีมากขึ้น ส่วนความเสี่ยงด้านการส่งผ่านทางการเงินมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ แต่ความเสี่ยงในการโอนย้ายและการปรับโครงสร้างพอร์ตลงทุนอาจต้องใช้เวลาในการจัดการ
SCBS มองว่าหุ้นเชิงรับจะปรับตัว outperform ได้อย่างต่อเนื่อง หุ้นพลังงานต้นน้ำเป็นตัวเลือกที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง โดยยังคงชอบหุ้นคุณภาพที่มีค่า beta ต่ำเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน
กลยุทธ์การลงทุน มองภาพรวมปี 2565 เน้นไปที่ธีมมหภาคและจุลภาคประกอบด้วย 1) หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง (มาร์จิ้นสูงและมีเสถียรภาพ) 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ 3) หุ้นเติบโตที่มีราคาสมเหตุสมผล และ 4) หุ้นคุณภาพ ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นเชิงรับเพื่อยึดหลักความระมัดระวังในช่วงที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงโดยเชื่อว่าหุ้น domestic ที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและงบดุลแข็งแรงน่าจะได้รับความสนใจมากกว่าหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหนักกว่าหุ้น domestic นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและเงินเฟ้อสูง โดยหุ้นเด่นใน 2Q22 คือ AOT, BDMS, CRC, GULF และ PTTEP
Comments