top of page
379208.jpg

หุ้นไทยทรงอย่างแบด หลายปัจจัยเสี่ยงกดดัน


ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ฉายภาพใหญ่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น หลังเงินเฟ้อในยุโรปอยู่ในทิศทางที่ลดลง ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ย่ำแย่อย่างที่คาดการณ์ รวมถึงเศรษฐกิจ-การเงินจีนเริ่มกระเตื้องขึ้นหลังยกเลิกมาตรการ Zero COVID ผ่อนคลายเกณฑ์สินเชื่ออสังหาฯ ผ่อนคลายการออก IPO ของธุรกิจขนาดใหญ่ ด้านธุรกิจเทคโนโลยี-ซอฟต์แวร์และตลาดหุ้นในจีน ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ ต่างดีขึ้นผิดหูผิดตา ส่วนฝั่งอเมริกา ภาพลบด้านร้ายทั้งเรื่องเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย เริ่มลดลง ทำให้การลงทุนต่างๆ ทยอยฟื้นตัว ด้านตลาดหุ้นไทยอยู่ในสภาพทรงๆ มีดีในบางกลุ่มเช่น หุ้นเทคโนโลยี หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ สิ่งที่พึงระวังคือดอกเบี้ยในไทยที่เป็นขาขึ้น เงินบาทแข็งค่า และส่งออกที่ย่ำแย่


ผ่านมาถึงสิ้นเดือนมกราคม 2566 มีคำแนะนำอะไรบ้าง

ตัวภาพเศรษฐกิจโลก ถ้าฟังจากหัวข้อข่าว เหมือนจะดูดีขึ้น หลักๆ ที่เป็นปัจจัยบวก 2 ที่ คือที่ยุโรปกับที่จีน โดยที่ยุโรปหลักๆ คืออุณหภูมิมันอุ่นกว่าปกติในช่วงหน้าหนาวของเขา เลยทำให้ความต้องการในเรื่องของก๊าซธรรมชาติอาจจะไม่เยอะมากเท่าที่หลายฝ่ายคาดกัน พอเป็นภาพเช่นนั้น ถึงแม้ว่ารัสเซียจะมีการแซงชั่นก๊าซธรรมชาติที่จะส่งผ่านท่อนอร์ทสตรีม ซึ่งทำให้ตัวภาพความต้องการก๊าซไม่เยอะ ราคาก๊าซก็ถูกลงบ้าง พอราคาก๊าซถูกลงบ้างก็ช่วยทำให้เงินเฟ้อมีทิศทางลดลง และต้นทุนต่างๆ ในการที่รัฐบาลจะไปช่วยสนับสนุนในแง่ของค่าพลังงานก็ลดลง เลยกลายเป็นว่าทุกอย่างดูดีขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้แย่มากนัก คือเขาคาดว่าจะมีการติดลบกันเยอะก็กลายเป็นศูนย์คือไม่ได้ติดลบ แต่ก็ไม่ถึงกับบวก เลยดูเป็นภาพที่ดีขึ้น และไปบวกกับภาพที่สอง คือเรื่องการเปิดประเทศของจีน

สำหรับการเปิดเมืองของจีนที่ปลายปีมีเรื่องรัฐบาลจีนยกเลิก Zero COVID โดยเฉพาะตัวสำคัญที่สุดคือการที่ประชาชนเดินทางไปมาหาสู่กันได้ จากที่ต้องกักตัว 5 วันที่โรงแรมและ 3 วันที่บ้าน กลายเป็นศูนย์ คนก็เลยเดินทางกันมากมาย และสถานที่ไหนก็ไม่ต้องตรวจแล้ว เลยทำให้ตัวกิจกรรมเรื่องเศรษฐกิจดีขึ้นมามาก ในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา คนก็แน่นในเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง แต่ก่อนเคยเป็นที่ร้าง ซึ่งก่อนหน้าก็ติดเชื้อกันไปเต็มที่ และตัวผู้ติดเชื้อก็ลดลงไปมาก 70-80% ตามที่ฝั่งกระทรวงสาธารณสุขของจีนเขารายงานมา พอเป็นภาพเช่นนั้น ก็เลยมีคนออกมามากขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวมาบ้านเราก็มีมากขึ้น

นอกจากนี้ จีนยังมีนโยบายอื่นๆ คือทุกอย่างยูเทิร์นหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่แต่ก่อนคุมเข้มเรื่องของการเติบโต โดยเฉพาะเรื่องของสภาพคล่องเรื่องสินเชื่ออะไรต่างๆ ทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่เคยแย่ในปีที่ผ่านมาก็ยูเทิร์น มีการผ่อนคลายอะไรต่างๆ มากขึ้น ในฝั่งธุรกิจเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์อะไรต่างๆ พวกอาลีบาบา ฯลฯ ซึ่งแต่ก่อนเคยคุมเข้ม ว่าการที่จะไปไอพีโอ หรือว่าจะทำธุรกิจอะไรต่างๆ ต้องมีการคุมเข้ม โดนปรับโน่นนี่ ตอนนี้อะไรต่างๆ ก็ผ่อนคลายหมดเลย และมีแผนว่าจะอนุญาตให้ฝั่งของอาลีบาบามีการทำไอพีโอในตัวไฟแนนเชียลที่เป็นธุรกิจฟินเทคของเขาได้ด้วย หลังจากทาง แจ๊ค หม่า ออกจากการเป็นผู้บริหารใหญ่ไป

ก็เลยกลายเป็นว่า ภาพต่างๆ มันก็ดูดีขึ้นหมดเลยในฝั่งของจีน หุ้นจีนก็ดูดีขึ้น และภาพเศรษฐกิจก็เหมือนจะดูดีขึ้นด้วยในระยะต่อไป เพราะตัวเลขจะค่อยๆ กำลังมากัน ภาพเช่นนั้นก็ลิงก์ไปที่ยุโรปที่มีเรื่องของการที่ค้าขายกับทางจีนพอสมควร ค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าพวกแบรนด์เนม พวกของลักชัวรีต่างๆ ซึ่งยุโรปเขามีชื่ออยู่ตรงนี้ พอจีนเปิดประเทศ ความต้องการตรงนี้ก็มีเยอะขึ้น เลยกลายเป็นว่าทั้งสองกลุ่มดีขึ้นคือในฝั่งของจีนของยุโรป


ฝั่งอเมริกาเป็นอย่างไร

ขณะที่ฝั่งอเมริกา ตัวเลขไม่ได้ดีมากนัก แต่ว่าถ้ามองในฝั่งตัวภาคตลาดแรงงานก็ถือว่าออกมาค่อนข้างโอเคระดับหนึ่ง ไม่ได้แย่ดั่งคาด และเงินเฟ้อก็มีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่อง คือถ้าพูดง่ายๆ ดูแบบไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้เงินเฟ้ออเมริกาถ้าดูตัวนี้ ที่เฟดใช้ชี้วัด คือ 4.4 ดอกเบี้ย Fed Fund Rate ตอนนี้ก็ประมาณ 4.4 คือแบบแทบจะเท่ากันแล้ว ด้วยภาพเช่นนี้คนก็คาดการณ์ว่าการขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไปอาจชะลอลง รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจก็ไม่ได้แย่มากด้วย เลยกลายเป็นว่าคนก็มองภาพว่าอเมริกาจะสามารถรอดพ้นจากปัญหาเรื่องของ Hard Landing หรือ Recession ได้หรือไม่ การลงทุนอะไรต่างๆ เลยฟื้นตัวขึ้นมา

ส่วนดอลลาร์ก็อ่อนค่าไปเยอะด้วย ถ้าเทียบสมัยเดือนตุลาคมมาจนถึงปัจจุบัน ดอลลาร์อ่อนไปเกือบ 10% หรือกว่าด้วยซ้ำ ด้วยภาพที่ว่าการขึ้นดอกเบี้ยที่เริ่มมีทิศทางแนวโน้มที่ชะลอลง เงินเฟ้อที่จะชะลอลงอะไรต่างๆ ภาพเช่นนั้นก็เป็นตัวที่สนับสนุนตัวสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ หุ้นต่างๆ อะไรก็ขึ้นมาพอสมควรเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น่าสนใจที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันในตลาดที่ดีที่สุดคือแนสแด็ก คือหุ้นเทคฯ ซึ่งปีที่แล้วแย่มาก แต่ปีนี้ฟื้นขึ้นมา และรองลงมาคือฝั่งยุโรป ส่วนจีนก็ขึ้นมาค่อนข้างแรง รวมถึงฮ่องกงด้วยซึ่งเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเทคฯ หุ้นอะไรต่างๆ ก็เป็นภาพเช่นนั้น Bond Yield ก็มีทิศทางที่ลดลง ผลตอบแทนพันธบัตรก็ลดลง เราหมายถึงว่าตัวต้นทุนทางการเงินเริ่มผ่อนคลายลง

ที่สำคัญคือ Commodity หรือโภคภัณฑ์ก็เริ่มกลับมาฟื้นขึ้นทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวที่แรงที่สุดคือตัว Commodity หรือพวกสินแร่อุตสาหกรรมต่างๆ ก็ฟื้นขึ้นมา ล่าสุดคือขึ้นมา 10% แล้วจากต้นปีไม่ว่าจะเป็นดีบุก ตะกั่ว ทองแดง น้ำมันก็ขึ้นมาพอสมควร 5-6% ตัวธัญพืชอาจจะไม่ค่อยได้ขึ้นมาเท่าไหร่ ก็กลายว่าภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยงออกมาดีขึ้นในระดับหนึ่ง แม้ในมุมมองของเราก็ยังคงระมัดระวังในระดับหนึ่ง แต่ว่าแน่นอนว่าภาพดูดีขึ้น ตอนนี้ก็คือตัวเรื่องของยุโรป ทางฝั่งของจีนเราก็มองภาพก็น่าสนใจระดับหนึ่งโดยเฉพาะจีนอาจจะเรียกว่าตลาดเขาขึ้นมาเยอะแล้ว แต่ก็สามารถที่จะลงทุนได้ต่อ หมายถึงลงในกองทุนอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจีน

ในขณะที่ยุโรป อเมริกา อะไรต่างๆ ถามว่าความเสี่ยงยังมีอยู่ในระยะต่อไปหรือไม่ เรายังเชื่อว่ามีอยู่ รวมถึงญี่ปุ่นด้วย แต่ว่าญี่ปุ่นภาพค่อนข้างโอเคแล้วระดับหนึ่ง ความเสี่ยงของญี่ปุ่นคือเรื่องของการที่นโยบายการเงินตึงตัวขึ้น

ถ้ามองฝั่งไทยปีที่แล้วตลาดหุ้นเรียกว่าไม่ได้แย่ ดูทรงๆ ถ้าเทียบกับตั้งแต่ต้นปียันปลายปีของไทยยังทรงๆ เพราะความผันผวนมีเยอะขึ้น แต่ก็ฟื้นขึ้นในช่วงหลังๆ ในปีนี้กลายเป็นว่าถ้าเทียบๆ ดูแล้วเราอาจจะไม่ได้ขึ้นเท่าไหร่ ตั้งแต่ต้นปีเราขึ้นไม่ถึง 1% ในขณะที่อื่นขึ้นอย่างน้อยก็ 2% กว่าจนถึงกว่า 10% ฉะนั้นภาพของเราก็เป็นเรื่องของการทรงๆ ตัว จะขึ้นก็แค่บางกลุ่ม หุ้นเทคฯ บางตัว เพราะที่ผ่านมาหุ้นเราก็ขึ้นมาเยอะแล้วเหมือนกันในเรื่องของหุ้นที่เกี่ยวกับการเปิดเมือง เรื่องของสนามบินหรือแอร์ไลน์ต่างๆ ฉะนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้จีนจะเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวจะเข้ามามาก แต่อะไรต่างๆ ก็เลยไม่ได้ขึ้นมากเท่าไหร่นัก


จนถึงวันนี้นักลงทุนควรเดินหน้าต่ออย่างไร คือนับตั้งแต่เปิดปีใหม่มา ตลาดหุ้นยังไม่ค่อยไปไหนสักเท่าไหร่

ในตลาดไทยเรามองเห็นภาพตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ผมไปพูดในงานสัมมนา ไทยแลนด์ สมาร์ท มันนี่ ที่จัดขึ้นช่วงกลางเดือนธันวาคมที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว เรายังคงยืนยันว่าในช่วงต้นปีจนถึงกลางปี หุ้นไทยอาจจะไม่ได้สดใสมากนัก ปัจจัยเสี่ยงก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นดอกเบี้ยของทางเฟดของอะไรต่างๆ ก็จะเป็นตัวกดดัน แต่ช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถเข้าได้หลังจากที่เฟดเริ่มยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และมีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าอาจจะลดดอกเบี้ยด้วยซ้ำ ถ้าเศรษฐกิจชะลอลงแรงขึ้น

แต่ถ้าเผื่อมองภาพใหญ่ เราก็แนะนำว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนในพันธบัตร ซึ่งก็เป็นอย่างที่เรามองจริงๆ เลย เพราะปีที่แล้วการลงทุนพันธบัตรเรียกว่าติดลบไปเยอะมาก จากพันธบัตรที่เด้งขึ้นแรง ฉะนั้น คราวนี้ถ้าลงในกองทุนพันธบัตรก็สามารถที่จะเรียกว่าไปได้ในระดับหนึ่งถึงแม้ว่าตอนนี้ Bond Yield จะเริ่มลงมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ว่าถ้ามองในแง่ของตัวภาพของหุ้นอะไรต่างๆ อย่างหุ้นจีน หรือหุ้นทางฝั่งยุโรปก็อาจจะยังมีบ้างที่จะสามารถไปได้ โดยเฉพาะจีน เราค่อนข้างเชียร์ในช่วงนี้

ขณะที่ของไทยก็คือ เราเชื่อว่าครึ่งปีหลังมันถึงจะขึ้นแบบดีขึ้นกว่านี้ คือช่วงครึ่งปีแรกอาจมีสิทธิ์ย่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ตั้งเป้าไว้ที่ 1,750 ที่เป็นตัวเรื่องของปัจจัยพื้นฐานว่าจะสามารถขึ้นได้ คือดูในแต่ละเซ็กเตอร์ไป ดังนั้น ถามว่าไปได้หรือไม่ ก็ไปได้ ถ้าเผื่อใครสนใจหุ้นไทย ถ้าจะซื้อตอนนี้ก็อาจจะซื้อได้ในระดับหนึ่ง บางตัวที่อาจจะพอได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในบางกลุ่มบางตัว อย่างเช่นตัวที่เกี่ยวข้องกับการรีโอเพน อย่างสายการบิน หรือตัวทางฝั่งสนามบินอะไรต่างๆ ก็ถือว่าค่อนข้างสูงอยู่ในระดับหนึ่งเหมือนกัน เพราะตัวภาพ จะราคา หรือมูลค่าอะไรก็ตาม โดยถ้าเราไปดูระดับก่อนโควิดแล้ว ซึ่งตอนนั้นนักท่องเที่ยวคือ 40 ล้านคน แต่ตอนนี้ต่อให้นักท่องเที่ยวจีนกลับมา เราก็เชื่อว่าแค่ประมาณ 25 ล้านคน มันยังไม่เท่าของเก่า พอไม่เท่าก็ก็คงต้องระมัดระวังตรงนี้ รวมไปถึงหุ้นบางกลุ่มบางตัวที่วิ่งหวือหวาตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ผ่านมาก็อาจจะต้องระมัดระวังบ้าง แต่ถ้าเชื่อในภาพใหญ่ก็จะไปต่อได้ อาจจะทยอยเล่นได้บ้างในบางตัว โดยเฉพาะเซ็กเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ อาจจะได้ปัจจัยบวกอีกอันหนึ่งคือเรื่องของการเลือกตั้งที่กำลังจะมีมาอย่างช้าในเดือนพฤษภาคม ซึ่งตามสถิติก่อนหน้าเลือกตั้งประมาณ 3 เดือนมันจะเป็นการวิ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคทั้งหลาย


เงินบาทที่แข็งค่า เป็นกังวลหรือไม่

กังวล เชื่อว่ามันแข็งเกินปัจจัยพื้นฐานมาพอสมควรเหมือนกัน แต่ดูเหมือนแบงก์ชาติเขาไม่กังวล พอแบงก์ชาติไม่กังวล แต่เรากังวล ก็ต้องฟังแบงก์ชาติ คือเรื่องของการประชุมนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาก็ส่งผลอย่างชัดเจน ดูจะให้น้ำหนักในเรื่องของเงินบาทเป็นอันดับที่ท้ายๆ สุดเลย มองภาพว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อเนื่อง เงินเฟ้อเป็นความเสี่ยงซึ่งเริ่มกลับมา ตรงนี้น่าแปลกใจประหลาดใจเหมือนกันว่าเขาเริ่มจับตาเรื่องเงินเฟ้อมากขึ้น ในขณะที่บอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านมาไม่มีผลต่อในเรื่องของภาคธนาคาร คือการปล่อยสินเชื่อต่างๆ ค่อนข้างมีเอ็นพีแอลยังค่อนข้างต่ำอะไรแบบนี้

ถ้าเป็นภาพเช่นนี้ ถ้าดูจากนโยบาย สัญญาณจากแบงก์ชาติตอนนี้ คือดอกเบี้ยยังคงขึ้นต่อเนื่อง ถ้าเป็นภาพเช่นนั้นก็แปลว่ามีแนวโน้มที่เงินจะไหลเข้ามา แต่ถ้าเป็นมุมมองส่วนตัว คือการเข้ามาเก็งกำไรในเรื่องของค่าเงินบาทระดับหนึ่ง ก็เป็นภาพเช่นนั้น ประกอบกับตัวดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาด้วยและก็อาจจะอ่อนสักพักหนึ่งถ้าเผื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของนโยบาย เฟดก็คือมีการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็จะทำให้ฝั่งของดอลลาร์อ่อนค่าลง ในขณะที่บาทเราแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงสั้น ในช่วงไตรมาสแรก

แต่ว่าเรายังเชื่อในภาพใหญ่ว่า ถ้าดูจากเรื่องของดุลบัญชีเดินสะพัด หรือเงินที่ไหลเข้าฝั่งการค้า ก็จะแย่ลงเรื่อยๆ เราเห็นการส่งออกที่ติดลบ 14% ขณะที่การนำเข้าชะลอลงก็จริง แต่ว่ายังสูงกว่าการส่งออก ก็เลยทำให้ดุลการค้าขาดดุลมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งภาพนี้มันจะไปเกี่ยวเนื่องกับภาพดุลบริการดุลจากเรื่องของเงินจากการท่องเที่ยวที่ได้เข้ามามากขึ้น มุมมองของเราคือ เราเชื่อว่าปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดอาจจะไม่ดี อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ แปลว่าเงินก็ไหลเข้าในฝั่งการค้าการลงทุน ไม่ได้เยอะมากนัก แล้วยังมีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าในช่วงกลางปี ถ้าความผันผวนการเงินโลกเยอะขึ้นอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ ก็เป็นไปได้ว่าดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่า แต่ต้องบอกว่า ตอนนี้ปัจจุบันภาพนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ภาพปัจจุบันก็คือบาทยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะต่อไปก็ยิ่งกระทบกับภาคการส่งออก ซึ่งภาคส่งออกก็แย่อยู่แล้ว จากดีมานด์โลกที่แย่ลง แล้วมาเจอบาทที่แข็งค่าด้วย ก็กลายเป็นว่ากระทบสองเด้ง ตรงนี้ก็อาจไม่เป็นบวกนักกับกลุ่มส่งออกเท่าไหร่ ก็ต้องระมัดระวังตรงนี้มากขึ้น หรือว่าถ้าเป็นนักธุรกิจที่มีการทำธุรกิจระหว่างประเทศ อาจจะต้องซื้อประกันอะไรต่างๆ ไว้

19 views

Comments


bottom of page