ควบรวม GULF-INTUCH ถือเป็นสถานการณ์ที่ดีต่อตลาดหุ้นและบรรยากาศการลงทุน และเป็นโอกาสในการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี AI ของไทยที่ยังล้าหลัง แนะผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งหุ้น GULF และ INTUCH ให้ถือหุ้นต่อ รอลุ้นผลบวกหลังตั้งบริษัทใหม่ทั้งในแง่ราคาหุ้นและเงินปันผล ส่วนใครที่ยังไม่มีหุ้น GULF-INTUCH ในพอร์ต เข้าไปซื้อได้ในจังหวะที่ราคาย่อตัวลงมา ด้านชะตากรรมของผู้ถือหุ้นและหุ้นกู้ของ EA ยังมืดมน ต้องร้องเพลงรอสถานเดียว รอลุ้นผลการตรวจสอบของคณะกรรมการอิสระถ้าพบว่าไม่มีความเสียหายเพิ่มเติมอย่างกรณีโรงไฟฟ้านครสวรรค์-ลำปาง EA ก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้
Interview : คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์
กรณีระบบไอทีล่มทั่วโลกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม คิดว่ามีผลกระทบมากไหม น่ากลัวไหม
ก็เป็นสัญญาณเตือนหนึ่งเมื่อธุรกิจไหนที่ใช้ระบบป้องกันภัยของใครอันใดอันหนึ่ง ถึงจุดที่ผู้ให้บริการเกิดปัญหาผู้ใช้บริหารทุกคนก็จะมีปัญหาตามๆ กัน ก็เป็นบทเรียนสำคัญว่าถ้าเราเป็นผู้ให้บริการสาธารณะมีผลในวงกว้างจะต้องมีระบบสำรอง ก็เป็นข้อเตือนใจ
ระบบไอทีของเมืองไทยใช้ระบบ CrowdStrike มากไหม
เป็นระบบที่แพร่หลาย เราต้องยอมรับว่าในปัจจุบันระบบที่จะเป็นระบบป้องกันภัยระบบป้องกันพวกสแปมไวรัสที่สามารถอัปเดตในตัวมันเองได้ดีที่สุด ตอนนี้ก็ต้องเป็น CrowdStrike ถ้าเป็นระบบอื่นๆ ประสิทธิภาพก็รองลงมา ซึ่งสังเกตได้ว่าคนที่ใช้เขาก็มีความกังวลเรื่องของระบบ Security เขาเลยใช้กัน แต่ตัวที่ใช้ดันมีปัญหาจึงเป็นอย่างที่เราเห็น พูดง่ายๆ เราพึ่งพาอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เราต้องมีระบบสำรอง
กลับมาที่ตลาดหุ้น หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีทั้งข่าวดีกับข่าวร้าย ข่าวดีคือกรณีปรากฏการณ์ควบรวมของ GULF กับ INTUCH มองปรากฏการณ์นี้อย่างไร
มองได้อยู่ 2 ด้าน อย่างแรกบริษัทเอกชนในไทยมีความพยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็น Global Brand มากขึ้น การควบรวมของ GULF กับ INTUCH ในแง่ของขนาด Market Cap ในตลาดหุ้นอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ แต่ก็ขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ถ้าในแง่ของศักยภาพแล้ว การที่ผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของอาเซียนในด้านของ Data Center มันก็มีความเป็นไปได้ ...คือความพยายามของเอกชนที่จะผลักดันตัวเองขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
อย่างที่ 2 ด้วยบรรยากาศอันขมุกขมัวในบ้านเราในแง่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีทั้งประเทศมันล่าช้า มันดูแย่ไปหมด มีกระแสข่าวว่าเราล้าหลัง การเติบโตต่ำ ไม่สามารถที่จะพัฒนาเทคโนโลยีได้ทันกับชาวบ้าน อย่างน้อยกระแสการควบรวมของ GULF กับ INTUCH ทำให้บรรยากาศขมุกขมัวมันลดลง มองแล้วเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนในความเป็นจริงถ้าเราศึกษาเรื่องดีลควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH ดีๆ มันน่าสนใจตรงที่ GULF เขาค่อยๆ เดินเกมมา เริ่มต้นจากซื้อหุ้นไม่กี่หุ้น แรกๆ เราก็สงสัยกันว่าเขาจะไปลงทุนทำไมใน INTUCH หรืออาจจะอยากได้ปันผล แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH อย่าง Singtel ซึ่งเคยเป็นผู้ถึงหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งก็หล่นลงไปกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสอง สำหรับ GULF ได้วางยุทธศาสตร์ตัวเองอยู่แล้วในการขยายขอบเขตของธุรกิจของเขาออกไป คือต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าพวก IPP หรือ SPP หรือพลังงานทดแทนมันเป็นจุดที่อิ่มตัวแล้ว คือผลิตไฟเยอะจนเกินกว่าความต้องการและรัฐบาลไม่ต่อ Adder ให้ด้วย ธุรกิจมาถึงจุด Sunset หรือเป็นขาลง แต่ละบริษัทเขาก็พยายามที่จะหาทางหนีทีไล่กัน สังเกตได้ว่าแต่ละบริษัทไปลงทุนแบบอื่นๆ แบบเบี้ยหัวแตก ลงทุนอะไรที่มันอาจจะจับต้องได้ยาก หรือต่อให้จับต้องได้มันก็ดูเพ้อฝันมากกว่า แต่ต่างจาก GULF ที่โฟกัสชัดเจนว่าจะเล่นของใหญ่แล้วก็เอาจริงด้วย นอกจากเรื่องควบรวม INTUCH ยังมีการจับมือกับ Alphabet หรือ Google ในการทำฐาน Data Center ในอาเซียน รวมถึงก่อนหน้านี้จับมือกับ Binance ที่มุ่งสู่ธุรกิจคริปโทเคอร์เรนซี ก็ชัดเจนว่าเป็นดีลที่โฟกัสไปที่จุดเดียว แล้วก็จะทำ Virtual Bank อีก
ไม่ใช่มองว่าเพราะที่ผ่านมานักลงทุนช้ำใจ เสียหายไปกับการเล่นแร่แปรธาตุของบริษัทควบรวมทำนองนี้กันมาเยอะ
สังเกตสมัยก่อนเล่นแร่แปรธาตุกับเบี้ยหัวแตกกับเบี้ยบ้ายรายทาง ผลออกมาค่อนข้างสะเปะสะปะ แต่กรณี GULF อันนี้เขาเล่นของใหญ่ แล้วก็เป็นที่น่าสังเกตว่า Singtel ยังคงร่วมถือหุ้นในบริษัทใหม่ด้วย ถ้า Singtel เห็นท่าไม่ดีผมว่า Singtel ก็ชิ่งเหมือนกัน แต่ที่ยังถือหุ้นร่วมไปด้วยผมคิดว่า Singtel เขามองออกว่าในอนาคต INTUCH มาถึงจุดอิ่มตัวแล้วเหมือนกัน เขาถึงได้พยายามลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายพอมีคนที่จะมาอัปธุรกิจขึ้นไปต่อยอดธุรกิจขึ้นไปในอีก Curve หนึ่ง Singtel ก็อยู่ต่อสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอรับส่วนแบ่งอีกทีหนึ่ง
มองเกมนี้เหมือนกับว่าคุณเอาม้าเทียมเกวียนกับวัว แล้วจะไปกันได้ไหม สมมุติเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ งานนี้จะเป็นอย่างไร
คือจริงๆ แล้วธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโดยเฉพาะเรื่องของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI Backup ของมันคือการประมวลผลข้อมูล มันต้องอาศัยอยู่ 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรกชิปประมวลผลเทคโนโลยีที่จะใช้เข้ามาในประมวลผล อย่างที่ 2 คือข้อมูลที่จะเอาเข้ามาประมวล อย่างที่ 3 คือพลังงาน ซึ่ง INTUCH เขาก็มีศักยภาพ คือ INTUCH ถือหุ้นตรงไปยัง AIS แล้ว AIS กําลังขยายปีก คือขยาย Boardband ไปทั่วประเทศ กำลังฟอร์มเป็น Market Share เบอร์หนึ่ง มีทั้ง Boardband เป็นของตัวเอง แล้วก็จะไปสู่ 3DD เพราะฉะนั้นเส้นของข้อมูลอยู่ในมือ เส้นของพลังงานก็อยู่ในมือ GULF ส่วนเส้นเทคโนโลยีตรงนี้ก็ใช้เงินแก้ปัญหา ซึ่งก็มีเงินเยอะ 8-9 ปีที่ผ่านมาได้ประโยชน์สูงสุดแล้ว จากรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์
จะบอกว่าเป็นน้ำกับน้ำมัน มันไม่เข้ากัน คนละธุรกิจกัน ก็คงไม่ใช่ เราต้องดูที่องค์ประกอบที่จะไปสู่ธุรกิจใหม่ด้วย
คิดว่าดีลนี้มีโอกาสที่จะล่ม หรือไม่ประสบความสำเร็จไหม
ในแง่แนวโน้มธุรกิจในอนาคตจะสำเร็จไหมอันนี้ยังต้องติดตามต่อไป แต่ถ้าเราดูว่าอย่างน้อยการได้เป็นเบอร์ 1 ในประเทศในด้านนี้ เขาได้เป็นแน่ แต่จะเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนไหม อันนี้คงยังต้องรอดู ส่วนในอนาคตจะกลายเป็น Global Brand จะขยายปีกสาขาขนาดไหน ยังต้องรอดูเหมือนกัน ผมก็ไม่แน่ใจ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ แต่อย่างที่บอกว่ามันเป็นสัญญาณที่ดี อย่างน้อยๆ เมืองไทยตอนนี้มันซบเซามาก เอกชนไม่กล้าลงทุน แต่การควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH ทำให้บรรยากาศการลงทุนดูมีสีสัน อันนี้คือในแง่ของอนาคต แต่ปัจจุบันการควบรวมมันสำเร็จแน่นอนอยู่แล้ว เพราะ GULF ที่เขาถือหุ้นใน INTUCH อยู่ 47-48% ดีลนี้ Singtel เขาก็เห็นด้วย ในเมื่อ Singtel เห็นด้วย แล้ว Singtel คือใคร คือบริษัทเทเลคอมขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ถือหุ้นใหญ่โดยเทมาเสค สายตาในการลงทุนของ Singtel ซึ่งเป็น Holding Company มันล้ำอยู่แล้ว เขามีศักยภาพ เขาน่าจะมองออก
ถึงตรงนี้คนที่ถือหุ้น GULF หรือ INTUCH ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย ควรทำอย่างไรดี
ถ้าเกิดถือหุ้นอยู่ มันจะมีการ Swap Ratio เกิดขึ้น GULF ดูจะได้เปรียบดูมี upside แต่ตัว INTUCH ดูเสียเปรียบ ... จริงๆ แล้วผมกลับชอบนะ สำหรับคนที่ถือหุ้น INTUCH อาจจะเสียเปรียบในเรื่องของ Swap Ratio แต่ได้ปันผลพิเศษ 4.50 บาท ดังนั้นมีหุ้นอยู่ก็ถือต่อไม่ต้องคิดมาก เป็นบริษัทใหม่ลุ้นไปเลย เมืองไทยไม่ได้มีอะไร High มานานแล้ว โดยสรุปคือถือหุ้นต่อ
ให้ถือหุ้นไปจนถึงวันที่เขารวมเป็นบริษัทใหม่ หรือ NewCo ที่เขาว่ากันใช่ไหม
ใช่ แปลงหุ้นแล้วก็รอดูว่าจะมีการเติบโตไหม อย่าลืมว่าเขาทำแบบนี้เพราะเขาต้องการเติบโตบางอย่างในธุรกิจของเขา เราก็เหมือนกับได้เริ่มตั้งไข่ไปด้วยกันกับเขา อันนี้ถือว่าดีกว่าเขาไปทำเป็นบริษัทใหม่มาแล้วพอมันเติบโตแล้วเขาก็มาขาย IPO ให้กับเรา อันนั้นสายไปแล้ว
คนที่ตอนนี้ไม่มีทั้งหุ้น GULF หรือไม่มีทั้งหุ้น INTUCH ด้วยควรโดดเข้าไปร่วมวงไหม ขึ้นรถไปกับเขายังทันไหม ช้าไปหรือยัง
ผมว่าน่าสนใจครับ แล้วถ้าประเทศนี้ยังมีอะไรดีอยู่ ตัว SET Index ฟื้นตัว ผมว่าบริษัทใหม่ของ GULF กับ INTUCH น่าจะขึ้นตามตลาดด้วย ราคาตรงนี้และบรรยากาศตลาดแบบนี้ก็น่าจะเข้าไปซื้อ พอย่อแล้วก็เข้าไปซื้อ ไม่น่าจะผิดอะไร
ฟังแล้วการควบรวมน่าจะเป็นบวก คิดว่าทางการเอาด้วยไหม ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ กสทช. กรณีที่เขาคุมเรื่องการสื่อสารเขาจะเอาด้วยไหม
ขนาดดีแทคกับทรูยังผ่าน แล้วดีลนี้ไม่ได้มีเรื่องของการผูกขาด ไม่ได้มีเรื่องความเสียหายอะไรต่อผู้บริโภค ไม่ให้ผ่านก็แปลกแล้ว ขนาดดีแทคกับทรูที่กระทบกับผู้บริโภคโดยตรง เขายังให้ผ่าน
แล้วมีความน่ากลัวไหมที่บริษัทใหญ่มีกำลังมหาศาลอย่างนี้ อนาคตอาจจะไปเที่ยวกว้านซื้ออะไรมาเป็นของตัวเองเยอะแยะไปหมด
เรามองในแง่ของการแข่งขัน อย่าลืมว่าเรามีกฎหมายเรื่องการแข่งขันด้วย อย่างที่บอกขนาดดีแทคกับทรูยังควบรวมได้เลย อีกเรื่องหนึ่งคือการควบรวมของเขาครั้งนี้เรายังมองไม่ได้เห็นว่ามันเกี่ยวกับเรื่องของการผูกขาดสาธารณูปโภคพื้นฐานของประชาชน เรายังไม่ได้เห็นภาพนั้น เขากำลังจะโฟกัสธุรกิจพวกศูนย์ Data Center บริษัทต่างๆ ที่จะพัฒนาเรื่องของ AI ในอนาคต เท่ากับว่าเขากำลังเป็นผู้บุกเบิก เราจะไปบอกว่าเขากำลังจะกลายเป็นผู้ผูกขาดคงไม่ได้ เพราะเขากำลังจะเป็นผู้บุกเบิก ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูกันอีกทีหนึ่ง
ผมคิดว่าที่ผ่านมา เขาถือหุ้นไว้อยู่แล้ว โดยในแง่ผู้ถือหุ้นมันรวมกันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำเป็นทางการ ตอนนี้ก็แค่รวมบริษัทเป็นบริษัทเดียว รวมศักยภาพเพื่อลดความซ้ำซ้อน จะได้ไม่ต้องประชุมบอร์ด 2 ที่ กลายเป็นประชุมบอร์ดที่เดียวก็จบ ซึ่งเอาจริงๆ ต่อให้เขาไม่รวมกัน ทิศทางธุรกิจมันก็ไปทางนี้อยู่แล้ว
ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือทางการก็ดี ควรจะมีนโยบายสนับสนุนไหมให้บริษัทที่คล้ายๆ กัน มาควบรวมกัน
มันต้องระวังเรื่องของการผูกขาดถ้าเกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งการแข่งขันมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประชาชน สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือภาคเอกชนกล้าที่จะลงทุนเพิ่ม ขยายธุรกิจเพิ่ม ถ้ามันก่อให้เกิดเม็ดเงินการลงทุนก็น่าจะดูมีประโยชน์ ควรให้เกิดขึ้น แต่ต้องระมัดระวังถ้ามันไปเกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค
สนับสนุนให้ GULF หรือหลังรวมเป็น NewCo ไปเทกโอเวอร์บริษัทคล้ายๆ กันที่มีปัญหาอยู่เวลานี้ อย่าง EA ที่คนเสียหายเยอะหรือไม่ หรือว่าไม่ควร กำลังดีๆ อยู่เดี๋ยวไปแปดเปื้อนจะทำให้เสียภาพที่ดี
เราไม่สามารถพูดได้ เพราะเรื่องของ EA เป็นปัญหาเฉพาะบุคคล ไม่ได้มีส่วนไหนที่บอกว่าบริษัททำผิด ในภาวะปัจจุบันนี้เขาก็ไม่ได้เหมือน STARK ไปทั้งหมด ที่เหมือนคือมีข้อกล่าวหาว่าตัวผู้บริหารมีการทุจริต มีการยักยอก แต่ที่มันไม่เหมือนกันเลยคือมันไม่ได้มีการหลอกลวงนักลงทุน คือคำว่าหลอกลวงนักลงทุนหมายความว่าตกแต่งบัญชี ตกแต่งรายได้ ตกแต่งรายจ่าย ตกแต่งสินค้าคงเหลือ ตกแต่งทุกอย่างเพื่อหวังที่จะผลักดันราคาหุ้น เพื่อหวังจะขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงออกหุ้นกู้ ซึ่งกรณีของ EA ไม่ได้เป็นสภาพนั้นในตอนนี้ พอเป็นอย่างนี้เรายังไม่สามารถระบุได้ว่าตัวบริษัทแย่ มันเป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคลแล้วก็เป็นมาตั้งแต่ปี 2558-2559
ในกรณีนี้สมมุติว่า GULF จะไปควบรวม เราต้องมองในแง่ประเด็นของประโยชน์จากการควบรวม ผมกลับมองว่าไม่มีประโยชน์ เพราะ GULF มีกำลังในการผลิตไฟฟ้าเยอะอยู่แล้ว จะไปผลิตไฟฟ้าเพิ่มทำไม แล้วในอนาคตโครงการแต่ละโครงการของ EA ก็ไม่มี Adder หรือถ้าจะไปเอาธุรกิจแบตเตอรี่ของ EA ทาง GULF ก็ผลิตเองได้ หรืออาจจะไม่จำเป็นต้องผลิตเองด้วย คือปัจจุบันธุรกิจแบตเตอรี่ของ EA ก็ก้าวไม่ทันเทคโนโลยีโลก ยอดขายไม่ได้ดี รายได้ก็เป็นขาลง ขาดทุนในไตรมาสที่ผ่านมา แล้วธุรกิจรถไฟฟ้าของไทยเจอกับคู่แข่งจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากจีนก็เหนื่อยแล้ว
ถ้าจะไปควบรวมก็คงมีแค่เหตุผลเดียวว่าตอนนี้ราคาหุ้นของ EA มันถูกมาก Market Cap ปัจจุบันน่าจะเหลือเพียงแค่ประมาณ 20,000 ล้าน หายไปอีก 10,000 กว่าล้านภายในสัปดาห์เดียว ถ้าจะเข้าไปจากเหตุผลนี้ก็พอเข้าใจได้ เพราะราคาหุ้นถูก เงิน GULF มีเยอะแยะ
ชะตากรรม EA จะเป็นอย่างไร คนเสียหายควรทำอย่างไร
ชะตากรรม EA จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเอง คือ EA ในแง่ตัวกิจการไม่ได้มีปัญหา ตอนนี้ยังไม่ได้มีภาพเรื่องทุจริตมากมาย มันเป็นแค่ปัญหาเฉพาะตัวบุคคลจากสมัยปี 2558-2559 ฉะนั้นนับจากนี้ขอแค่อย่างเดียวว่าอย่ามีอะไรระเบิดออกมาอีกหรือมีปัญหาซุกไว้ใต้พรมอีกหลายโครงการ ถ้ามันโผล่ออกมาก็จบ แล้วทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา คือเขาต้องกล้าเปิดเผยทุกอย่างถ้าเกิดเขาคิดว่าไม่ได้มีอะไร อย่างเรื่องเก่าปี 2558-2559 แล้วมันเป็นแค่ 2 โครงการนั้น หลังจากนั้นคุณสมโภชน์เขาระมัดระวัง ไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว ถ้ากล้าเปิดออกมาทั้งหมด ตลาดจะค่อยๆ มีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ด้วยมูลค่าหุ้นตอนนี้ต่ำเพียงแค่ 0.5 เท่าของ Book Value ถ้าเทียบกับสินทรัพย์ต่างๆ ที่เขามีที่มันจะไปต่อได้ ถือว่าราคาถูก อย่างน้อยมันจะกลับไปที่ 0.8 เท่าของ Book ก็จะได้หลายตังค์กลับมา ตอนนี้ EA ทำอะไรอยู่ที่เป็นเรื่องของเจตนาที่จะพยายามเปิดเผยเพื่อเรียกความมั่นใจ ก้าวแรกถือว่ากำลังจะเริ่ม คือเขาตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาในการตรวจสอบ ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ถ้าตั้งกรรมการขึ้นมาแล้วปรากฏว่าเป็นคนที่ทำงานใน EA อยู่เดิมอันนี้คือจบ ตรวจสอบไปคนก็ไม่เชื่ออยู่ดี มันต้องเป็นกรรมการอิสระที่แบบไม่มีใครที่จะมีคอนเนกชันอะไรกับคนใน EA เป็นคนที่สังคมให้การยอมรับ เขาตรวจให้เต็มที่ แล้วถ้าเกิดเขาตรวจแล้วผลออกมาบอกว่ามันไม่ได้มีอะไรแล้ว แต่ละโครงการไม่ได้มีเหตุการณ์เหมือนโครงการที่นครสวรรค์กับลำปาง แค่นี้ก็เรียกความเชื่อมั่นได้แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ EA
ส่วนผู้ถือหุ้นก็ต้องรอคอยเพราะขายตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไรเลย มันต่ำมาก Market Cap หายไป 50% ภายในสัปดาห์เดียว ต้องรอสถานเดียว พูดถึงหุ้นกู้ยิ่งไม่ต้องทำอะไรใหญ่ เพราะคุณขายตอนนี้ก็ขาดทุน หุ้นกู้ถูกลดมูลค่ารุนแรงมาก ที่คุณให้เขายืมเงินไป 100 ตอนนี้คุณจะรีบถอนออกมามันได้ไม่ถึง 50 บาท เพราะการขายหุ้นกู้ในตลาดรองตราสารหนี้ตอนนี้เละเทะมาก ต้องอดทนรอ ถ้า EA เขาชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีอะไรไส้ในแบบนี้ ด้วยธุรกิจเขารันต่อไปได้ แล้วแบงก์มั่นใจมากขึ้น ปล่อยสินเชื่อ เขาก็จะมีกระแสเงินสดมาชำระคืนผู้ถือหุ้นกู้ได้
Comments