
ชยนนท์ รักกาญจนันท์ มิสเตอร์เมสเซนเจอร์ สงสารนักลงทุนไทย จะมีมาตรการโหดห้ามไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งความจริงต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของนักลงทุนคือการทำกำไร ถ้าอยากจะให้นักลงทุนไทยเชื่อมั่นหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เต็มร้อยจะต้องพัฒนาตลาดหุ้นไทย พัฒนาเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ไม่ใช่ดูดายให้ตลาดหุ้นไทยตกต่ำ ดัชนีและปริมาณการลงทุนติดลบมากสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย และเผลอๆ จะติดลบเป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยซ้ำ... แนะ ถ้ามีเงินหรือตัดใจขายขาดทุน LTF ให้นำเงินไปลงทุนในหุ้นจีน ฮ่องกง อเมริกา ญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ หุ้น AI หรือซื้อกองทุนที่มีการนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศ ดีกว่าปล่อยให้ขาดทุนไปวันๆ
เห็นด้วยไหมที่จะห้ามนักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศไม่ให้ Fund Flow ไหลออกจะได้มาลงทุนในหุ้นไทย จะกลายเป็นว่ากอดคอกันตายหรือเปล่า
เอาจริงๆ คือน่าสงสารคนไทยที่ผู้กำหนดนโยบายคิดได้แค่นี้จริงๆ ปัญหาของตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยมันคือปัญหาในเชิงโครงสร้างและมันคือปัญหาความเชื่อมั่น คือเม็ดเงินของนักลงทุนที่เขาไม่ลงทุนในหุ้นไทยเพราะมันสร้างผลตอบแทนไม่ได้ คราวนี้จะไปบังคับไม่ให้เขาไปลงทุนในต่างประเทศ สมมุติว่าลงทุนในไทยต่อ แล้วคุณไม่ได้ไปแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง และอีก 10 ปีผ่านไปนักลงทุนไม่ได้มีเงินออมเพิ่มขึ้นตอนเกษียณ อย่างนี้ใครมารับผิดชอบเขา เงินทองตอนเกษียณใครจะหาให้เขา สุดท้ายเป็นภาระของรัฐบาลหรือเปล่า ผมว่ามันแก้ไม่ถูกจุด คือจะทำก็ทำได้ แต่ควรจะสื่อสารและทำนโยบายอื่นๆ ในระยะยาวควบคู่กันไป ไม่ใช่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ทำให้เกิดความเกลียดโกรธเคืองกันภายในกลุ่มนักลงทุน ต้องระวัง
เปรียบเทียบดูตลาดหุ้นโลก ตลาดหุ้นไทย ให้เห็นบ้างว่าเป็นอย่างไร
เริ่มจากสถานการณ์หุ้นไทยก่อน มีคำถามกันเยอะมากๆ ว่าแรงขายในหุ้นไทยมันมาจากใคร ใครเป็นผู้ร้ายในครั้งนี้ หรือจริงๆ แล้วเป็นนักลงทุนรายย่อย จึงเป็นที่มาของนโยบายห้ามนักลงทุนไทยไปลงทุนในตลาดต่างประเทศหรือเปล่า ตอนนี้ผมคิดว่าเป็นแค่แพะรับบาป ผมไม่บอกว่าเขาเป็นผู้กระทำผิด แต่ที่รัฐบาลและหน่วยงานราชการเขาเห็นเขามองว่ามันคือ กองทุน LTF ที่ครบกำหนด ซึ่ง LTF ตอนนี้ใครที่มีถืออยู่แล้วตัวชื่อย่อของมันมี LTF ข้างหลังสามารถขายได้ทุกยอดแล้ว ใครมีก็ขายได้แล้ว ไม่ต้องไปนับปีอะไรกันทั้งสิ้น ตอนสิ้นปี 2567 เดือนธันวาคมเรามียอดสุทธิ LTF อยู่ที่ 220,000 ล้านบาท สิ้นเดือนมกราคม 2568 เหลืออยู่ประมาณ 180,000 ล้าน หรือประมาณ 172,000 ล้าน ถามว่ามันลดลงอย่างนี้มันลดลงเพราะอะไรถ้าดูตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมจนถึงวินาทีนี้ตัวตลาดหุ้นไทยลบไปประมาณ 6% ลบมากสุดเป็นอันดับ 2 ของในเอเชีย จริงๆ น่าจะเป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยซ้ำไป มูลค่าของ LTF ถ้าเรา Assumption ว่า LTF ทั้งหมดลงทุนในหุ้นทั้งหมด ไม่ถือ Cash ก็แปลว่าไหลออกไปประมาณ 30,000-40,000 ล้าน จาก 220,000 ล้าน ก็เหลือเงินประมาณ 180,000 ล้านภายในเดือนเศษๆ
ถามว่าเงิน LTF ที่เหลือ 180,000 ล้านบาทเยอะไหม... เรามาวิเคราะห์กันต่อว่า LTF เราไม่สามารถซื้อเข้าไปใหม่ได้แล้วตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา จากที่ขายปีสุดท้ายแค่ปี 2562 ตอนนั้นต้นปี 2563 ยอด LTF สุทธิอยู่ที่ 350,000 ล้านบาท ปี 2564 ตลาดหุ้นรีบาวด์มูลค่า LTF ขึ้นมาเป็นประมาณ 365,000 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นเม็ดเงิน LTF ลดลงมาทุกปีๆ ตั้งแต่ปี 2565 ทั้งปีไหลออก 31,000 ล้านบาท ปี 2566 ไหลออก 22,000 ล้านบาท ปี 2567 ไหลออกอีก 37,000 ล้านบาท แต่ถึงสิ้นเดือนมกราคม 2568 เพียงแค่เดือนเดียวไหลออกกว่า 30,000 ล้าน คือออกมากกว่าปี 2567 ทั้งปี เพราะฉะนั้นพอเห็นตัวเลขขาย LTF ที่หมดอายุออกแบบนี้ ทางการบอกว่า LTF เป็นผู้ร้ายเพราะมันมียอดครบกำหนดที่ต้องขายเพราะมันไม่มีกองอะไรมาซื้อเติมใหม่แล้ว ส่วนหนึ่งก็ใช่จริงเพราะขายกว่า 30,000 ล้านภายในเดือนเดียวถือว่ามีนัย แล้วถ้าอัตราเร่งมันเป็นอย่างนี้ไปมันมี LTF ที่รอขายอีกประมาณ 180,000 ล้านบาท อย่างที่บอกไปมันก็เลยเป็นที่มาที่รัฐมนตรีคลังคงจะหาวิธีว่าทำยังไงให้เงินก้อนนี้มันไม่หลุดออกไป ไม่ถูกขายออกไป ....อันนี้คือมุมหนึ่ง
มุมที่ 2 คือคิดว่าทำให้ไม่หลุดออกไปก็ล็อกมันเลยไหม ไม่ให้คนขายแล้วเอาเงินไปลงทุนในต่างประเทศเลยไหม ซึ่งอย่างที่บอกไปเราคุยกันว่ามันน่าจะแก้ปัญหาคนละวิธี
ประเด็นคือ เงินทุนของไทยที่ไหลออกไปลงทุนต่างประเทศอย่างนี้ แล้วยังจะออกเยอะมากขึ้นอีกหรือไม่ วินาทีนี้ทุกคนที่มี LTF อยู่ถือขาดทุน ที่ขายคือขายขาดทุนกันหมดเช่นกัน ไม่มีใครกำไรแม้แต่สักคนเดียว มันต้องดูดีๆ ผมคิดว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่อยากจะขายขาดทุน แต่ที่เขาขายทั้งที่ขาดทุนเพราะเขาหมดหวัง เพราะเศรษฐกิจไทยไม่ดี และรัฐบาลบอกว่า GDP ปีนี้จะโต 3% แบงก์ชาติบอกว่าจะโต 2.9% แต่ผมเห็น Economist ในบ้านเราประจำตามแบงก์ต่างๆ ไม่เห็นมีใครให้เกิน 2.6% และความเสี่ยงของการที่ GDP จะปรับลงก็มีอีกจากการที่ทรัมป์ทำสงครามการค้า จากการที่เศรษฐกิจในไทยเรามีปัญหาหนี้ครัวเรือน 90% มันก็ไม่รู้ว่าจะไปกระตุ้นจากตรงไหน
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าทุกคนที่ลงทุนอยู่เขาเห็นภาพเดียวกันว่าถ้าถือหุ้นไทยอยู่ตอนนี้ในขณะที่ตลาดโลกมันวิ่งขึ้นเอาๆ ก็ตัดสินใจว่าขายออกตอนนี้แล้วไปซื้อฮั่งเส็งดีไหม ขายตรงนี้แล้วไปซื้อหุ้นเทคฯ จีน เทคฯ อเมริกา ซึ่งมันมีเรื่อง AI มีเรื่อง DeepSeek เข้ามา มันอาจจะเป็นโอกาสในการ Cover มากกว่าถือหุ้นไทยหรือไม่ ผมคิดว่าอันนี้เป็นคำถามตัวใหญ่ๆ ซึ่งในฐานะของนักลงทุนเราก็ต้องมาวิเคราะห์กันว่าถือต่อกับโยกออกไปแล้วไปซื้ออันอื่น อะไรมันดีกว่ากันเมื่อมองที่ผลประโยชน์ของเราเป็นหลัก
ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมว่านักลงทุนที่ถือ LTF อยู่เวลานี้ควรจะทำอย่างไรดี
ตอนนี้ SET Index ปรับลง ตั้งแต่ต้นปี 2568 มา SET Index ลบ 6% แล้ว ใน 6% มีอยู่ประมาณ 3 Sector ที่ยัง Outperform ตลาดอยู่ อันดับ 1 กลุ่มธนาคาร 2 ท่องเที่ยว 3. สื่อสาร นอกนั้นแพ้ SET หมดเลย / แล้วตัวที่แพ้มากๆ หรือหนักๆ อย่างเช่น Raw Materials ที่มีปัญหาจริงๆ หรือกลุ่ม Finance ก็เริ่ม Underperform หรือกลุ่มค้าปลีกก็เริ่มเห็นแรงเทขายออกมาด้วยเช่นเดียวกัน
แปลว่าหุ้นไทยในภาพรวมดูเหมือนแย่ แต่ถ้าเจาะเป็นราย Sector มันก็มี Sector ที่ยังแข็งแกร่ง และถ้ายิ่งเจาะเป็นแต่ละ Sector มันก็มีผู้ชนะของแต่ละ Sector ที่ยังเป็นหุ้นที่ Outperform อยู่ เพราะฉะนั้นจะตอบได้ว่า LTF ที่คุณมีควรขายหรือไม่ อาจจะจำเป็นต้องกลับไปเปิดหนังสือชี้ชวน Fund Fact Sheet แล้วดูว่านโยบายของเขาไปลงทุนในหุ้นประเภทไหน ถ้าเป็นหุ้นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าอะไรเลย เข้าไปดูงบดุล ก็เห็นว่ามันโตต่อเนื่องมาตลอด กำไรดีต่อเนื่อง อาจจะเพราะ Sentiment ตลาดทำให้มันลง ซึ่งผมคิดว่ายังพอถือได้
แต่ถ้าสมมุติคุณลงทุนใน Sector ที่ก็ไม่ดีอะไร ดูแล้ว Outlook ก็แย่ ราคาก็ปรับฐานลงมา แล้วแถมว่าปรับฐานลึกกว่า SET ผมว่าพวกนี้ก็ต้องกำจัดทิ้ง ก็ต้องไปหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ
เพราะฉะนั้นในแง่ของ LTF ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่ไม่ใช่ว่าเห็นว่ามันคือ LTF แล้วขายทั้งหมด ต้องเข้าไปเจาะลึกดูอีกที ....
ถ้าขายออกมา เอาเงินไปตรงไหนดี
ต้องดูพอร์ตหรือเงิน LTF ว่า เป็นระยะสั้นหรือจะถือระยะยาว ถ้าถือระยะสั้นก็ต้องบอกว่าตอนนี้ Momentum ของตลาดแล้วก็ Sentiment ของนักลงทุนวิ่งมาทางจีนค่อนข้างเยอะ อย่างฮั่งเส็งบวกมา 5 สัปดาห์ติด คิดแบบ Year to Date ก็กว่า 20% หุ้น ALIBABA ใครถือมาเดือนหนึ่งบวกไป 50% คือบวกมาแรงขนาดนี้ถามว่าเพราะอะไร คือมันมีเรื่อง DeepSeek Wake up Call คือการเกิดขึ้นมาของ DeepSeek มันทำให้นักลงทุนทุกคนเชื่อว่ามันจะเกิด AI แบบ Low Cost ที่บริษัทต่างๆ สามารถใช้ในวงกว้าง เพราะฉะนั้นพวกคนที่เป็น Cloud Service หรือว่า AI Infrastructure น่าจะมีการลงทุนในพวก AI ปลายน้ำที่เอาตัว Software as a Service มา Plug กับ AI เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะแน่ๆ ตลาดเลยให้น้ำหนักเรื่องนี้ แล้วราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นมา เพราะฉะนั้นเล่นสั้นอาจจะเกาะกลุ่มนี้ไปได้
แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ดัชนีฮั่งเส็ง ฮ่องกง ที่บวกแรงที่สุดมีอยู่ 2 Sector คือ Sector Communication Service กับ IT คือตัวเทคโนโลยีที่วิ่งดี แต่นอกนั้นยังแย่หมดเลย หรือถ้าเราไปดูที่ภาพ Country Garden หรือ China Evergrand รวมถึงภาพรวมของอสังหาฯ ของจีนยังอยู่ในวิกฤต ยังไม่ได้ออกมาเลย
ดังนั้นใครจะวิ่งไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนผมคิดว่าต้องวิ่งไปที่หุ้นเทคอย่างเดียว อย่าไปซื้อพวกหุ้น CSI 300 ให้ไปซื้อ เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ใครที่ติดหุ้นจีนอยู่พอดูข่าวตอนนี้หุ้นบวกเอาๆ แต่พอลองไปดูที่กองทุนที่ตัวเองถือก็จะงงๆ ว่าทำไมมันอยู่ที่เดิม มันเป็นเพราะมันวิ่งกระจุกตัว ซึ่งภาพนี้มันคล้ายๆ กับที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นอเมริกาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่อเมริกามันจะมีหุ้นกลุ่มหนึ่งที่เราเรียกเขาว่า Magnificent Seven หรือ หุ้น 7 นางฟ้า ... 2 ปีที่ผ่านมา 7 นางฟ้าเป็นตัว แบกดัชนี S&P 500 มาตลอด คือถ้าตัด 7 ตัวนี้ออกไปเมื่อปี 2023-2024 จาก S&P 500 ที่บวกเฉลี่ยปีละ 12% จะเหลือบวกแค่ 5% เท่านั้น ผมคิดว่าภาพโมเดลของการที่วิ่งกระจุก นิ่งกระจาย ที่เคยเกิดในอเมริกา กำลังจะเกิดที่จีนอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามาที่จีนเล่นสั้นไปที่หุ้นเทค
คราวนี้ถามคนที่มีกลยุทธ์ว่าไม่ได้จะมาติดตามตลาด แต่อยากจะถือยาวๆ ผมคิดว่าตลาดหุ้นอเมริกายังอยู่ในความน่าสนใจ สรุปรวมๆ คือทรัมป์จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้อเมริกาไม่สูญเสียคำว่าเบอร์หนึ่งในเวทีโลกด้วยการใช้สงครามการค้าในการเจรจาข้อต่อรองเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด อย่างล่าสุดที่เขาจะทำภาษีตอบโต้ เซ็นลงนามไปแล้วแต่กลายเป็นว่า Effective Date Delay ไปวันที่ 1 เมษายน การดีเลย์ไปก็เพื่อเรียกและกวักมือทุกคนว่ามาคุยกับฉันไหม มาเจรจากัน มาต่อรองกัน เพราะฉะนั้นทรัมป์เขาไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นกำแพงภาษี แต่ตั้งใจจะต่อรองบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่เสียอะไร ตรงนี้ผมคิดว่าหลายวันที่ผ่านมาตลาดหุ้นอเมริกาที่วิ่งกลับขึ้นมาแล้ว Nasdaq ทำ High อีกรอบหนึ่ง มันเป็นเพราะตลาดและนักลงทุนเริ่มอ่านไพ่ในมือของทรัมป์เจอแล้วว่านี่มันคือวิธี ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่น่าจะเจอเงินเฟ้อ อเมริกาก็ไม่น่าจะมีปัญหาทะเลาะกับใครมากมายขนาดนั้น ปล่อยให้ทรัมป์เขาทำอย่างนี้ไป ส่วนเราก็ทำธุรกิจต่อ ผมคิดว่าภาพมันเป็นอย่างนั้น
ถือว่าทรัมป์ไม่ธรรมดา มีกลอุบาย
ถือว่ามาเหนือเมฆมาก แล้วแปลว่าเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องตั้งกำแพงภาษีอะไรเลยแล้วจะได้ข้อต่อรองในการเจรจา อย่างล่าสุดที่นายกฯ นเรนทรา โมดี ของอินเดียบินไปที่สหรัฐก็กลายเป็นว่าคือไปบีบ ผมว่าไม่ได้คุยกันดีๆ เอาจริงๆ คือไปบีบว่าต่อไปนี้อินเดียรับน้ำมันจากอเมริกาไหม เพราะฉันมีนโยบายจะขุดน้ำมันแล้ว แถมเครื่องบินสอดแนม F-35 ทั้งๆ ที่รัสเซียคือเขาเรียก Support เครื่องบินสอดแนมให้อินเดียแล้ว กลายเป็นว่าอินเดียเป็นประเทศแรกในโลกที่มีเครื่องบินสอดแนมที่ทันสมัยที่สุดจากรัสเซีย แล้วก็อเมริกาเข้าเจรจาอย่างนี้ก็จะเห็นว่าทรัมป์จะได้อะไรบ้าง ก็กลายเป็นว่าบริษัทผู้ผลิตอาวุธกับตัวอากาศยานก็ได้เม็ดเงินจากการลงทุน น้ำมันก็ได้ขายให้อินเดียเพิ่ม ตัวเองก็ไม่เห็นต้องตั้งกำแพงภาษีอะไรเพิ่มเลย นี่คือดีลที่ทรัมป์ทำซึ่งผมว่ารอบนี้ทรัมป์ 2.0 มาแล้วมันทำให้ตลาดเริ่มมีความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเมริกาแล้วมองทรัมป์ในมุมมองที่ต่างไปจากทรัมป์ 1.0
มองว่าฟองสบู่ตลาดหุ้นอเมริกายังไม่แตกใช่ไหม
มีเรื่องที่น่ากังวลบ้างเหมือนกัน ถ้าบอกว่าตลาดหุ้นอเมริกามีเรื่องอะไรน่ากังวล ปัจจุบันนี้ National Debt หรือหนี้ของกระทรวงการคลังของอเมริการวมกันทั้งสิ้นอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านล้านดอลลาร์ โดย 1 ใน 3 ของหนี้เพิ่งเพิ่มขึ้นมาเมื่อตอนโควิด ถ้าจำกันได้คือตอนนั้น เจอโรม พาวเวล ประกาศมาตรการ QE Unlimited แล้ว โจ ไบเดน ก็เอาเม็ดเงินเข้าไปสนับสนุนกระตุ้นทุกอย่างแม้แต่โครงการคล้ายๆ เช็คช่วยชาติ ให้ครัวเรือนละ 6,000 ดอลลาร์แจกอัดยับเลย ก็ทำให้ตัวอเมริกาตอนนี้มีหนี้สิน 120% ของ GDP
รู้ไหมว่าอเมริกาปีนี้มีหนี้ที่ครบกำหนดอยู่ประมาณ 9 ล้านล้านดอลลาร์ จาก 36 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 4 คราวนี้ครบกำหนดก็ต้องเอาเงินไปจ่าย ถามว่าอเมริกามีเงินสดไปจ่ายคืนไหม --ไม่มี --เมื่อไม่มีต้องทำยังไงก็ต้องออกพันธบัตรออกมาประมูลใหม่ ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว สมมุติว่าออกพันธบัตรอายุ 5 ปี ตอนนั้นอเมริกาจ่ายดอกเบี้ยที่ประมาณ 0.6% เท่านั้น แต่วันนี้ออกพันธบัตร 5 ปี 0.6% ได้ไหม-ไม่ได้แล้ว-- เพราะผลตอบแทนมันดีดขึ้นมาตอนนี้อยู่ประมาณ 4.4-4.5% เราคิดแบบนี้ ก่อนหน้านี้ดอกเบี้ยเสียอยู่ 0.6% ต่อปี แต่ตอนนี้อยู่ประมาณ 4.5% ต่อปี อยู่ดีๆ ต้องจ่ายดอกเพิ่มขึ้นมา 4% แล้วเป็น 4% ของปริมาณหนี้ทั้งหมด 1 ใน 4 ของที่ตัวเองมีอยู่ทั้งก้อน แปลว่าอเมริกาตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจะเจอความท้าทาย คือจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในปริมาณที่สูงขึ้นเยอะ จึงเป็นที่มาว่าทรัมป์ต้องทำนโยบายอีกเรื่องหนึ่ง คือ เขาจะทำกระบวนการว่าทำยังไงก็ได้ให้ดอลลาร์อ่อนค่า ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเป็นการลดหนี้ไปในตัว ตรงนี้ก็ต้องมาดูกันว่าทรัมป์จะทำยังไง ถ้าทำไม่สำเร็จผมคิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของคนที่ถือดอลลาร์ทุกคน เพราะอยู่ๆ อเมริกาก็อยากจะลดค่าเงินตัวเองให้อ่อน แล้วแถมมีหนี้ออกมาเยอะมากขนาดนี้ ถ้าจะ Refinance ด้วยการ Roll Over หนี้ แล้วปริมาณมันเยอะขนาดนี้ แปลว่าอเมริกาต้องจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าวันนี้เพิ่มขึ้นไปหรือไม่ ยิ่งจ่ายสูงยิ่งเป็นภาระ ผมคิดว่าหนี้ก้อนนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจะเริ่มครบกำหนด ตลาดจะมา จับจ้อง เรื่องนี้กันชัดๆ แล้วทรัมป์กับทำเนียบขาวจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไง ซึ่งไม่ง่ายแล้ว ก็ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. ค่าเงินดอลลาร์ก็ร่วงลงมา เรียกว่าจุดต่ำสุดในรอบ 9 สัปดาห์เลยทีเดียว ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ก็อยู่แถว 106-107 เรื่องนี้เป็นแผนทรัมป์ด้วยหรือไม่
ที่ประหลาดคือดอลลาร์อ่อนรอบนี้พร้อมๆ กับการประกาศตัวเลขสำคัญ คือ CPI และ PPI คือตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งตัว Core PPI หรือว่าเงินเฟ้อพื้นฐานนั้นตลาดคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะออกมา 3.3% แต่จริงๆ ออกมา 3.4% แปลว่าเงินเฟ้อยังแข็งแกร่งมาก ออกมาพร้อมๆ กับอีกตัวหนึ่ง คืออัตราการว่างงานของสหรัฐ ปรากฏว่าอัตราการว่างงานก็ลงมาน้อยกว่าที่ตลาดคาด แปลว่าเงินเฟ้อไม่ลง แล้วภาพของตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ถ้าใครติดตามตัวเลขเศรษฐกิจมาจะรู้ว่า 2 อย่างนี้แปลว่าเฟดไม่น่าลดดอกเบี้ยได้
คำถามคือเมื่อเฟดไม่น่าจะลดดอกเบี้ยแล้วตัวเลขเศรษฐกิจดูดี แล้วทรัมป์ยังกดดันเฟดมาตลอดว่าอยากให้เฟดลดดอกเบี้ย แต่กลายเป็นว่าพอตลาดซึมซับข่าว 2 ประเด็นนี้ ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อน ผมเลยมองว่าตลาดตอนนี้ไม่ได้แคร์แล้วว่าเศรษฐกิจอเมริกาแข็ง/ไม่แข็ง ตลาดกำลังจะไปจับตามองว่าแล้วอเมริกาจะลดหนี้ก้อนนี้หรือจะ Roll Over แล้วทำให้ตัวอัตราดอกเบี้ยไม่สูงเกินไปจนตัวเองมีปัญหาในระยะยาว
เพราะฉะนั้นเราอาจจะเจอช่วงที่ดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า ซึ่งตรงนี้จังหวะแบบนี้ผมก็ภาวนาให้เม็ดเงินมันไหลเข้าไทยบ้าง เพราะดอลลาร์อ่อนมันก็แปลว่าเขาจะไปซื้อไปลงทุนที่อื่นแทน ตอนนี้เราเห็นว่า Fund Flow ไปที่เวียดนามแล้ว เริ่มมีการรีบาวด์ หุ้นจีนพวกหุ้นเทควิ่งกลับมา เราเห็นหุ้นญี่ปุ่นคือจะนิกเกอิกำลังจะ 40,000 จุดอีกครั้งหนึ่ง หุ้น KOSPI เกาหลี เริ่มรีบาวด์มาแล้ว ที่ยังไม่เห็นคือ ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่ยังไม่ได้มีการไหลเข้าของเงินต่างชาติ
ก็หวังว่าถ้าเงินต่างชาติเข้ามาไทยบ้าง คนที่ถือ LTF อยู่หรือคนที่ถือหุ้นไทยก็ใจเย็นๆ ได้นิดนึง อย่าเพิ่งขายตรงนี้ รอเด้งขึ้นมาแล้วอาจจะได้ไปขายข้างบนก็ได้
ทางการควรจะรับมือ หรือออกแผนอะไรมาช่วยนักลงทุนที่ถือ LTF ที่จ้องจะขายออกกันอยู่บ้างไหม
เงื่อนไข LTF ออกมาตอนแรกเป็นการซื้อเป็นปีปฏิทิน แล้วพอเอา ThaiESG ออกมารองรับ ก็ไปเปิดว่า ThaiESG ต้องถือ 7 ปี มันก็ยาวกว่า LTF ในยุคแรกเลย อย่างที่ 2 คือ นโยบายก็ดันให้ไปเลือกทั้งลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าปีที่แล้วเงินทุนที่ไหลเข้า ThaiESG เกินกว่า 70% ลงทุนในตราสารหนี้ ไม่ลงทุนในหุ้น ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะไม่เชื่อมั่น คือถ้าจะบังคับกันว่าจะให้ลงในหุ้นไทย โดยใช้มาตรการลดหย่อนภาษีแบบนี้ แต่ผมคิดว่าก็อาจจะต้องจำกัดนโยบายว่าต้องลงทุนแต่เฉพาะหุ้นที่อยู่ใน SET หรือ mai เท่านั้น ห้ามไปลงทุนในตราสารหนี้เพื่อให้เอามาลดหย่อนภาษี แล้วต้องทำให้เทอมของการถือสั้นลง เพราะยิ่งมองยาวๆ คนก็ยิ่งไม่สบายใจ แล้วเงินมันก็ไปจมอยู่ แล้วเขาก็เข็ดกันอยู่ ...เขาถือมา 10 ปีแล้วขาดทุน 20% ใครจะอยากถือต่ออีก 10 ปี ก็อาจจะต้อง Short Term ลงมาเล่นสั้นๆ เลย 2-3 ปี อย่างน้อยๆ มีเงินก้อนถือ ผมมี LTF อยู่ ผมก็ขายออกมาแล้วผมก็เอามาหมุนออกมาแล้วผมก็ได้ Tax Saving ด้วย เงินก็ไม่ไหลออกจากระบบก็ยังอยู่ในตลาดหุ้น ผมคิดว่าถ้าทำได้แบบนี้อย่างน้อยมันคงจะเป็นกองทุนที่พยุงหุ้นได้ แต่ถึงจะลากขึ้นไปในระยะยาวผมคิดว่าก็เป็นเรื่องของความท้าทายว่าเศรษฐกิจเราดีไหม ต่างชาติจะลงทุนกับเราไหม เรามีหุ้นที่เป็น New S-curve เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่อยู่ข้างในแล้วได้ประโยชน์จริงๆ หรือไม่ ถ้า 3 อย่างนี้มันมา ผมคิดว่าหุ้นไทย 1,500-1,600 ก็แค่ปากซอย
แต่ตอนนี้ปากซอยเราอาจจะอยู่แถวๆ แค่ 1,300 ถ้าผ่านตรงนี้ไปไม่ได้ผมคิดว่า ตลาดเป็น Downside เยอะกว่า
ต้องทำอย่างไรถึงจะให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน ทำให้ Fund Flow เข้ามา
ผมคิดว่าต้องไปโรดโชว์เยอะๆ ไปหาเม็ดเงิน กวักมือให้เข้ามาลงทุนให้ได้ และยุคของ AI เราคงตามให้ทัน AI ฉลาด แต่ผมคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่บ้านเราก็มีหุ้นเหล่านี้ที่มี AI อยู่ข้างใน คือหุ้นกลุ่มพลังงาน เพราะ AI จะฉลาดได้ Data Center จะเพิ่มขึ้นได้ก็จำเป็นที่มันจะต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น มีพลังงานทางเลือก พลังงานลม เราจะไปทางพลังงานนิวเคลียร์ไหม นโยบายความยั่งยืนทางพลังงานผมคิดว่ามีความสำคัญแล้วมันดูเข้าทางเรามากขึ้น เรื่องของ Data Center เราไป AI ไม่ได้ แต่เรามี Data Center ได้ เราเป็นกลางทางการค้า เราค้าขายกับจีนได้ เราค้าขายกับสหรัฐได้ กวักมือเรียก Data Center ทั้งหมดมาอยู่ที่นี่ได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นของทั้ง Alibaba Tencent หรือ Azure ของ Microsoft หรือ AWS ขอให้เราปักหมุดเป็นเซ็นเตอร์ของอาเซียน ใช้นโยบายในการปรับลดลงไปเลย ใครเข้าโครงการ BOI ใครเข้ามาลงทุนให้เขาลดภาษีไป 5 ปี 10 ปี ตอนนี้เราต้องพึ่งพาต่างชาติไม่ใช่แค่เข้าตลาดหุ้น แต่เขาต้องเอา Real Investment หรือ Foreign Direct Investment เข้ามาลงทุนจริง ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าตลาดหุ้นก็จะมี Sentiment ตามมา แค่ให้รัฐบาลเริ่มแล้วกวักมือเรียกเจ้าใหญ่ๆ เข้ามาได้ ผมคิดว่าอย่างอื่นจะตามมา
มีอะไรจะแนะนำนักลงทุนบ้าง
ก็มีในเชิงกลยุทธ์ที่จะฝากนักลงทุนไว้ คือใครที่ถือ LTF หรือถือหุ้นไทยเป็นรายตัว ให้ไปดูงบ ถ้างบมันไปในทางเดียวกับราคาหุ้นคือมันร่วงเอาๆ แล้วงบมันก็ค่อยๆ แย่ลงมา อย่างนี้ผมคิดว่าตัดใจขายขาดทุน ขายแล้วออกไปลงทุนที่อื่นที่มันดูมีโอกาสมากกว่าเยอะเลย แล้วตอนนี้โอกาสมันก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ไทยแล้ว เราก็เห็นมาเยอะแล้วอย่างตลาดหุ้นอเมริกาก็วิ่งได้ ตลาดหุ้นจีนก็เริ่มกลับมาฟื้นได้
อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องภาษี ไปลงทุนในหุ้นรายตัวต่างประเทศมันก็อาจจะไปโดนภาษี แน่นอนว่าภาษีมันอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีรายได้เยอะขนาด 30-35% สมมุติรายได้เยอะขนาดนั้นก็ใช้กองทุนรวมเป็นเครื่องมือในการทยอยลงทุน เดี๋ยวนี้ก็มีกองทุนพวก ETF ที่ไม่มี Front End ฟรี ไม่ได้มี Management Fee เยอะๆ เข้ามาให้เราลงทุนได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถของผู้จัดการกองทุน
ผมคิดว่าทางเลือกของนักลงทุนไทยในการออมเพื่อการเกษียณไม่ได้อยู่ในหุ้นไทย แต่อยู่ที่ตลาดต่างประเทศ เราต้องกระจายการลงทุนออกไป
ตอนนี้มีพวก ETF ที่จะไปลงทุนในคริปโท มองว่าเงินคริปโทน่าสนใจไหม น่าเสี่ยงไหม

เราเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างที่นักลงทุนสถาบัน รวมถึงธนาคารกลางหลายๆ ประเทศเริ่มเปิดรับคริปโทมากขึ้น คือเวลาข่าวพวกสำนักข่าวรายงานจะเป็นตัวเลขตั้งร้อยล้าน-พันล้าน แต่ถ้ามันเทียบกับช่อง Portfolio มันอาจจะแค่แบบ 1-2% เท่านั้น เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าเราไม่ได้มีความสนใจหรือว่าไม่เคยมีคริปโท หรือบิตคอยน์อยู่ในพอร์ตเลยก็กระจายความเสี่ยงไปสัก 1-2% เพียงเท่านั้นก็พอแล้วต้องศึกษาเข้าใจให้ลึกซึ้งก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบเข้าไป คือ Asset อื่นๆ หรือให้ตัวหุ้นต่างประเทศก็สามารถทำผลตอบแทนชนะเงินฝาก ชนะเงินเฟ้อ ต้องอย่าลืมว่าคริปโทไม่มี Celling ไม่มี Floor มันเทรด 24 ชั่วโมง เรามีเวลาตามมันจริงๆ หรือเปล่า มันอันตรายกว่าเยอะ แล้วก็ Regulator ของทั่วโลกยังไม่เปิดรับ แม้ว่าทรัมป์จะมีแนวโน้มจะยอมรับ แต่ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ยอมรับทุกสกุล สกุลหลักๆ ที่อาจจะมีแล้วก็สบายใจสำหรับคนถือ สำหรับผมคือมีแค่บิตคอยน์ตัวเดียว นอกนั้นยังไม่ใช่
Comments