กระแสต้านปตท.จากกลุ่มเรียกร้องปฏิรูปโครงสร้างพลังงานไทยผ่านทุกสื่อปลุกติดแล้ว และทำท่าจะต่อเนื่องยาวนาน ทำเอาหุ้นน้ำมันระส่ำ โดยเฉพาะ PTT แนวโน้มหลุดจาก 50 บาทมีสูง
ก่อนที่จะถูกขย่มด้วยกระแสต้าน อาการของปตท.ก็ไม่สู้ดีนัก เหตุจากผลประกอบการไตรมาสแรกที่มีกำไรสุทธิ 39,788 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อน 4,424 ล้านบาท หรือลดลง 13.80%
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ PTT มีอาการเซก็คือ นักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เทขายกันแทบตลอดจะ 4 วันใน 5 วันทำการตลอดเดือนที่ผ่านมา เงินไหลออกวันละ 2,900-5,800 ล้านบาท
ส่วนราคาหุ้นของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ช่วงราคาน้ำมันดีดขึ้นท่ามกลางเสียงโวยวายของกลุ่มต่อต้าน อยู่ที่ 57.00 บาท
แต่เมื่อกระแสต้านรุนแรง ราคาค่อยๆ ลดระดับอยู่ที่ 53.50 จนถึง 50.70 โดยเฉพาะหลังวันศุกร์ 25 พ.ค. (วันเสาร์ประเทศไทย) ที่ราคาน้ำมันดิบโลกลดลงกว่า 4%
วันนั้นซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียตกลงกันจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ หลังจากสหรัฐยกเลิกข้อตกลงผ่อนปรนการคว่ำบาตรอิหร่าน ตัวการทำราคาน้ำมันดิบพุ่ง
PTT เมื่อกลางสัปดาห์ ราคาเหนือเส้น 50 แค่เส้นยาแดงผ่าแปด ราคาพาร์ที่ปรับใหม่จาก 10 บาทเป็น 1 บาท ซื้อขายกันมา 1 เดือน ราคาพุ่งขึ้นไปเกือบ 60 บาท
มาร่วงลงมาพรวดๆ หลังข่าวราคาน้ำมันดิบโลกลดลง ขณะที่กระแสต้านกลับแรงขึ้น
PTT เป็นหุ้นตัวหนักของตลาด มีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุดในตลาดคือ 1.52 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9% ของมูลค่าตลาดของตลาดหลักทรัพย์ฯรวมกัน ทั้ง 2 ปัจจัยที่ถาโถมเข้ามาทำเอาดัชนี SET ร่วงรูด
แม้นักลงทุนขาใหญ่จะพยายามซื้อหุ้น PTT ทั้งเพื่อพยุงราคามิให้ตกแบบโหม่งกระแทก และหวังว่าถ้าเหตุการณ์คลี่คลาย ราคาจะดีดกลับที่เดิม อันจะยังผลกำไรมหาศาล
แต่ในยามที่กระแสต่อต้านเชี่ยวกราก ย่อมยากที่จะทานได้ คงต้องรอให้ PTT เองแก้ไขคลี่คลายกระแสต่อต้านเกลียดชัง และทุนต่างชาติลดไหลออกหรือไหลกลับมาใหม่
แต่กลับมีข่าวไม่สู้ดีนักที่ผู้บริหาร นักวิชาการน้ำมัน ตอบโต้กระแสต่อต้าน PTT ด้วยถ้อยคำที่สวนกระแส
อย่างเช่นบอกว่า หากผู้ใช้รถทั่วประเทศร่วมใจกันไม่เติมน้ำมันที่ปั๊มปตท. ก็จะเป็นเหตุให้เลิกจ้างพนักงานปั๊มทั่วประเทศจำนวนกว่า 2 หมื่นคน
หรือข้อโจมตีว่า ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซิน ดีเซล ก๊าด ก๊าซเหลวฯลฯ) ในราคาที่ถูกกว่าราคาขายปลีกในประเทศมากเป็นเพราะต้องแข่งขันราคากับคู่แข่งชาติอื่นๆ แต่สิ่งที่นักการตลาดท้วงติงก็คือ ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมในประเทศไทยนั้น ปตท.แทบจะเป็นผู้ผูกขาดทั้งหมด
ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงมี 2 ตลาด คือตลาดการกลั่น (โรงกลั่น) กับตลาดค้าปลีก (ปั๊ม)
ตลาดโรงกลั่นมี 7โรง คือ
1. PTT Global Chemical (PTTGC) กำลังผลิต 48.91% ของกำลังผลิตทั้งหมด
2. Thaioil (TOP)
3. IRPC Public Company Limited (IRPC)
4. ESSO
5. Star Petroleum Refining Public Company (SPRC)
6. Bangchak Petroleaum (BCP)
7. Rayong Purify Public Company (RPCG)
โรงกลั่นเหล่านี้ ปตท.เข้ามีหุ้นอยู่ถึง 5 โรงกลั่น คือตัวปตท.เอง ไทยออยล์ ไออาร์พีซี สตาร์ปิโตรเลียม บางจาก มีแต่เอสโซ่และระยอง (เพียว) เท่านั้น ที่เป็นเอกเทศ มีกำลังผลิตรวมกันแค่ 15%ของกำลังผลิตทั้งหมด
โดย 5 บริษัทดังกล่าวมีกำลังผลิตรวมกันประมาณ 2,040,000 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือ 85% ของกำลังผลิตทั้งหมด
ตลาดโรงกลั่นน้ำมันจึงอยู่ในข่ายตลาดกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) และ ตลาดที่มีผู้ประกอบการน้อยราย (Oligopoly) เพราะมีคู่แข่งเพียง2 ราย
ส่วนตลาดค้าปลีกน้ำมัน ปตท.และบริษัทในเครือ โดย บมจ.พีทีจี เอ็นเนอร์ยี่ หรือPTG บริหาร ก็มีมากที่สุด โดยในจำนวนกว่า 27,000 ปั๊ม (มิ.ย.60) เป็นของปตท.อยู่ 1,721 ปั๊ม
นอกนั้นเป็นของบริษัทในเครือและบริษัทน้ำมันต่างชาติเช่น เชลล์ เอสโซ่ บางจาก เชฟรอน
สรุปว่า ปตท.เป็นผู้ชี้นำตลาดหรือชี้นำราคา (price leadership) สามารถกำหนดราคาน้ำมัน (กลั่น) ในประเทศได้
ส่วนที่ว่า เป็นรัฐวิสาหกิจหรือเป็นบริษัทเอกชนนั้น แม้จะอยู่ในรูปบริษัทมหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของปตท. คือกระทรวงการคลังและกองทุนวายุภักษ์ สัดส่วน ประมาณ 63.5% จึงอยู่ในฐานะรัฐวิสาหกิจ ส่งรายได้เข้าคลังผ่านกองทุนวายุภักษ์ 1.75 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณที่ผ่านมา
ผู้ถือหุ้นที่เหลือ 32% ถือโดยสถาบันการเงิน/กองทุน และ 4.5% สุดท้ายคือนักลงทุนรายย่อย
คงจะพอเบาใจได้ว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของปตท.สามารถเข้าไปช้อนรับแรงตกกระแทกครั้งนี้ได้
ส่วนจะกลับขึ้นไปสู่ระดับราคาเดิมก่อนร่วงกราวรูดได้ขนาดไหน ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบโลกที่ส่งผลถึงผลประกอบการ
วันที่ 22-23 มิ.ย.นี้ ซาอุดีอาระเบียผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลกกับรัสเซียผู้ส่งออกระดับต้นๆ อีกรายนัดพบกันที่กรุงเวียนนา เพื่อยืนยันการเพิ่มกำลังผลิตอีกวันละ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทดแทนข้อตกลงเดิมที่ลดกำลังผลิตวันละ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันจนสิ้นปีนี้
เกิดผลกระทบต่อหุ้นพลังงานทั่วโลกแน่นอน โดยเฉพาะตลาดนิวยอร์ก
ส่วนของไทย ปตท.ตกลงมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว คงไม่ร่วงลงไปกว่านี้อีก
Comentários