บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกหลุดจากภาวะหมีทางเทคนิคแล้ว แต่ยังปรับขึ้นได้อย่างเปราะบาง โดยมีอีก 3 ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งสถานการณ์ COVID, มาตรการเยียวยาของทางการ และการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ - กำไรบจ. แนะจับจังหวะขายกระชับพอร์ต รอซื้ออีกครั้งเมื่อราคาย่อตัว
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมมากกว่า 20% ซึ่งในทางเทคนิคถือว่าหลุดพ้นจาก “ภาวะหมี” หรือ “Bear Market” แล้ว โดย MSCI World Index ขึ้นมาซื้อขายที่ระดับประมาณ 470 จุด จากที่แตะจุดต่ำสุดในเดือนที่แล้วที่ 384 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปซื้อขายที่ประมาณ 1,250 จุด จากที่แตะจุดต่ำสุดในเดือนที่แล้วที่ 969 จุด เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกที่มีสัญญาณดีขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตในแต่ละวันเริ่มชะลอตัวลง รวมทั้งหลายประเทศทยอยออกมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการทางการเงิน, มาตรการทางการคลัง และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในครั้งนี้ยังมีความเปราะบางสูง เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ คือ
1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แม้อาจจะผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถจะประเมินได้ว่าจะจบลงเมื่อไร และสิ่งที่สำคัญถัดไป คือ การจะกลับไปเปิดเศรษฐกิจอย่างไร (Exit Strategy) โดยไม่ให้มีการระบาดรอบสองหรือรอบสาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากของรัฐบาลทุกประเทศ เพราะหากต้องกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดสกัดการแพร่ระบาดอีกครั้ง จะยิ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจลึกมากขึ้น ท่ามกลางช่องทางการใช้นโยบายการเงินและการคลังที่มีจำกัด
2) การลงมือในภาคปฏิบัติของมาตรการเยียวยาฯ ระยะที่ 3 มูลค่ารวม 1.9 ล้านล้านบาท โดยต้องติดตามความรวดเร็วในการออก พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ, ความยืดหยุ่นของเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการเร่งเบิกจ่ายเงินจะได้มากน้อยเพียงใด หากมีการใช้จ่ายเงินตามมาตรการเยียวยาฯ คาดว่าจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 4.5 แสนล้านบาทในปีนี้ ช่วยหนุน GDP เติบโตได้ประมาณ 1.3-1.4% แต่ก็ยังห่างไกลที่จะช่วยดึง GDP ปีนี้ให้ขึ้นมาขยายตัวจากปัจจุบันที่คาดว่าจะเติบโตติดลบ 6.9%
3) คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ และประมาณการกำไรยังมีแนวโน้มปรับลงอีก ส่งผลให้การฟื้นตัวของราคาหุ้นน่าจะเป็นไปอย่างจำกัดจนกว่าจะมีพัฒนาการทางปัจจัยพื้นฐานสอดรับกัน และ
4) ทิศทางราคาน้ำมันยังผันผวน แม้ OPEC+ จะลดกำลังการผลิตลงแบบขั้นบันไดสูงสุดที่ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้วก็ตาม เนื่องจากตลาดยังถูกกดดันจากสภาวะอุปทานล้นตลาดต่อไป หลังตลาดคาดการณ์ว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันได้หายไปแล้วเกือบ 30 ล้านบาร์เรลต่อวันจากผลกระทบของ COVID-19
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรขายกระชับพอร์ตช่วงราคาหุ้นปรับขึ้น และรอจังหวะย่อตัวทยอยซื้อคืน ส่วนการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรควรทำอย่างระมัดระวัง และใช้การตัดขาดทุน (Stop Loss) เมื่อดัชนีหุ้นไทยปิดต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด สำหรับประเด็นหุ้นที่น่าสนใจ บล.ทิสโก้ให้ความสำคัญที่ความปลอดภัยในการลงทุน โดยพิจารณาจาก 1) ความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ราคาหุ้นลงลึกเกินไป และราคายังมีโอกาสปรับขึ้นจากมูลค่าที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ PLANB, PYLON, SAT และ VNT 2) อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบน้อยจาก COVID-19 หรือมีความทนทานสูงจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง แนะนำกลุ่มค้าปลีก CPALL และ BJC กลุ่มอาหาร CPF และ RBF กลุ่มสื่อสาร DTAC, INTUCH และ TRUE กลุ่มโรงพยาบาล BDMS และอื่นๆ คือ BAM และ 3) หุ้นปันผล แนะนำ AP, BTSGIF, DIF, INTUCH, KKP, NYT, SMPC และ TVO
Comments