
ประเด็นส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไม่ทำให้เกิดเหตุร้ายในไทยเหมือนปี 58 และไม่กระทบการท่องเที่ยวไทยที่กำลังดีวันดีคืน ถ้าสถานการณ์ในไทยสงบเรียบร้อย จะทำให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยมากถึง 40 ล้านคนภายในปีหน้า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแฟนคลับดั้งเดิมอย่างจีน มาเลย์ ลาว และแฟนคลับกลุ่มใหม่อย่างอินเดีย และตะวันออกกลาง แต่ทั้งนี้ภาครัฐของไทยต้องเสริมมาตรการ สร้างภาพพจน์ที่ดีของไทยสู่สายตาชาวโลก เช่นการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว รวมทั้งภาครัฐต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเสริมแกร่ง ลดปัญหาด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ
Interview : ยุทธชัย สุนทรรัตนเวช เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเอสเอ็มอี
สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องของสิทธิมนุษยชนกับเรื่องการท่องเที่ยวอาจจะต้องแยกกัน ถึงแม้จะมีการเรียกร้องหรือร้องเรียนทางการไทยกับชาติต่างๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่เรื่องการท่องเที่ยวก็ยังไม่ได้มีกระแสตื่นตระหนกหรือว่าการยกเลิกการเที่ยวมายังประเทศไทย คือเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว แต่หากว่ามีเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อ 10 ปีที่แล้วคือเดือนสิงหาคมในปี 2558 อันนั้นก็จะมีผลเพราะเป็นกรณีความรุนแรง เนื่องจากมีการวางระเบิด สืบเนื่องจากส่งชาวอุยกูร์ชุดแรกกลับประเทศจีน ก็มีการวางระเบิดใจกลางเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญด้วย ขณะที่อีกจุดหนึ่งมีการวางระเบิดแต่ไม่ได้เกิดการระเบิด เลยมีเหตุผลชัดเจนที่จะหยุดการเดินทางมาไทยชั่วคราวเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ทางผู้ประกอบการก็มีความกังวล และคาดหวังว่าวิธีการและกระบวนการเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย น่าจะมีความรอบคอบรัดกุม และมีการช่วยปกป้องรัฐบาลไทยจากรัฐบาลจีนดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว เพราะถ้ารัฐบาลจีนจะถ่ายทอดความชัดเจนในการที่ผู้ที่ถูกส่งกลับมีสภาพความเป็นอยู่ในระดับปกติ มีกระบวนการเข้าสู่ความยุติธรรมตามมาตรฐานปกติ ก็น่าจะได้รับการรับรองจากนานาชาติว่าไม่น่าห่วงเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ
คิดว่ากระบวนการของทางราชการไทยรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวกับความมั่นคง น่าจะดำเนินการแยกแยะผู้ที่อยู่ในความควบคุมของเราว่าน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ความรุนแรงในจีนเมื่อ 10 ปีก่อน ฉะนั้น ชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับรอบนี้อาจจะไม่ได้เป็นผู้ที่เป็นหัวโจกหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เพียงแต่เขาอาจจะอยากลี้ภัยไปอยู่ในประเทศที่สาม ซึ่งจริงๆ ก็เป็นปัญหาเหมือนกันว่าบางประเทศและอีกหลายประเทศที่ร้องเรียนเราขณะนี้ เขาอาจไม่ยอมรับผู้อพยพลี้ภัยทางการเมืองเหล่านี้ไปอยู่ในประเทศตนเองด้วยซ้ำไป สถานการณ์เหล่านี้เลยทำให้ทางการไทยอาจจะมีความเบาใจในระดับหนึ่งว่าการส่งกลับไปยังภูมิลำเนาของเขาอาจจะไม่ได้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อเขา แล้วไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยเสียหายรุนแรง
ถ้าตัดเหตุการณ์อุยกูร์ไป การท่องเที่ยวไทยในปีนี้จะเป็นอย่างไร
สถานการณ์การท่องเที่ยวในสภาวะโลกเริ่มต้นเห็นความชัดเจนที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะดีขึ้นอย่างช้าๆ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย การท่องเที่ยวในไทยมีพื้นฐานจากการที่มีแฟนคลับมายาวนาน ฉะนั้น คนเหล่านั้นยังกลับมาเที่ยวไทยซ้ำมากขึ้น จะสังเกตเห็นจำนวนคนที่ชัดเจนมากที่สุดเลยก็คือนักท่องเที่ยวอันดับที่สองของเราคือมาเลเซีย โดยปีที่แล้วมาเลเซียเข้ามาไทยกว่า 5 ล้านคน รวมถึงลาวที่เข้ามากว่า 3 ล้านคน จริงๆ 5 ล้านกว่าคนของนักท่องเที่ยวมาเลเซียเทียบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 20 กว่าล้านคน เท่ากับ 1 ใน 4 คน ของคนในมาเลเซียที่กลับมาเที่ยวในไทย แสดงว่าเขาติดใจไทยและมาเที่ยวหลายครั้งหลายปีตลอดต่อเนื่อง คือซ้ำจนเป็นแฟนประจำไปแล้ว รวมถึงตลาดใหม่ๆ อย่างอินเดีย ตะวันออกกลางก็เข้ามาเสริมตัวเลขให้กลับไปสู่ตัวเลข 40 ล้านคนก่อนโควิด ซึ่งคงจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปีนี้ที่เราจะเห็นตัวเลขทะลุ 40 ล้านคน เป็นไปได้สำหรับปีหน้า ถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจอยู่
สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนเป็นอย่างไร
ยังมีสัดส่วนที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจของจีนเอง เราคิดว่าน่าจะประมาณ 3 ปีข้างหน้าที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนน่าจะเข้ามาเสริมตัวเลขในไทย และนักท่องเที่ยวโดยรวมให้มากกว่านี้ เพราะปีที่แล้วนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเกือบ 8 ล้านคน โดยปีนี้ก็น่าจะทะลุ 8 ล้านคน ส่วนปีหน้าก็น่าจะทะลุไป 9-10 ล้านคน แล้วแต่เงื่อนไขเศรษฐกิจของจีนเอง เชื่อว่าเรามีตัวเลขสะสมก่อนโควิดที่เป็นแฟนคลับชาวจีน กลุ่มคนเหล่านี้คิดถึงไทยอยู่แล้ว ซึ่งเขารอเงินในกระเป๋าเขาให้มีมากหน่อยเขาก็คงจะกลับมาเที่ยวไทยได้ไม่ยาก โดยเฉพาะนโยบายการไม่มีวีซ่า จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ คืออยากจะทานอาหารไทย 3-4 วันก็จองตั๋วเครื่องบินแล้วค่อยมาก็ได้ ไม่มีปัญหา
มีหลายคนมองว่าควรยกเลิกฟรีวีซ่า เพราะต่อให้ฟรีวีซ่าก็ไม่ได้กระตุ้นอะไรมากมายนัก และยังทำให้การตรวจตราดูแลกรณีนักท่องเที่ยวเทาๆ ยากด้วย
ขณะนี้การถอยกลับไปยกเลิกมาตรการยกเลิกวีซ่าอาจจะยังไม่จำเป็น เพราะจริงๆ แล้วถึงแม้ว่าจะมีการยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวแต่ก็ยังมีระบบการคัดกรองมาตรฐานอยู่ถึง 2 ระบบ คือเมื่อนักท่องเที่ยวจองตั๋วเครื่องบิน ทางสายการบินก็ต้องส่งรายชื่อมาให้ทางด้านเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเรารวมถึงตม.ตรวจสอบก่อนนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามา ซึ่งการส่งเข้ามาเขาก็เรียกว่ามีค่าธรรมเนียมซึ่งชาร์จอยู่ในบัตรโดยสารอยู่แล้ว ซึ่งค่าธรรมเนียมในการที่จะซื้อซอฟต์แวร์ลิงก์รายชื่อบุคคลที่ไม่ต้องการในโลกนี้มันก็จะขึ้นว่าบุคคลนั้นเข้ามาในไทยโดยสารเครื่องบินลำนี้มาหรือเปล่า เป็นการคัดกรองระดับหนึ่ง พอมาถึงท่าอากาศยาน ทางตม.เขาก็จะมีระบบพื้นฐานของเขาในการตรวจสอบรายชื่อที่มีการแลกเปลี่ยนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ก็มีการตรวจสอบในระยะเวลาชั่วขณะนั้น รวมทั้งรูปพรรณสัณฐานของบุคคลที่เป็นที่ต้องการระดับโลก ก็เป็นมาตรการขั้นหนึ่ง
ดังนั้น การที่มายื่นขอวีซ่าที่สถานทูตไทย แน่นอนมันมีเวลาตรวจสอบมากขึ้นประมาณ 1-2 อาทิตย์ มันย่อมละเอียดกว่า แต่การที่ไม่มีวีซ่า ก็ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยให้เข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบ ก็ยังมีการตรวจสอบระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่วางใจได้ ดังนั้น อย่าถึงกับไปบอกว่าไม่ได้มีการตรวจสอบอะไรเลย แล้วคนจีนหรือคนร้ายต่างๆ เข้ามา ไม่ใช่แล้ว บางครั้งเขาเป็นผู้ร้าย แต่อาจไม่ได้อยู่ทะเบียนอาชญากรของตำรวจโลกหรืออะไรก็แล้วแต่ อันนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยเก็บข้อมูลอีกทีหนึ่งก่อนว่า มันคุ้มหรือไม่คุ้ม ขณะนี้การไม่มีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนอาจจะยังเข้ามาไม่ได้เต็มที่ แต่ก็เป็นตัวหนึ่งที่ประคับประคองให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไม่น้อยกว่าที่เราคาดการณ์ ซึ่งถ้าหากมีวีซ่าคงน่าจะน้อยกว่าตัวเลข 7-8 ล้านคน ก็ถือว่ายังคงมีความจำเป็น ในขณะที่พ่อค้าแม่ขายของเราก็บ่นเลยว่าหากินฝืดเคืองมาก ดังนั้น ถ้าตัวเลขที่จะมาเติมนักท่องเที่ยวยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ก็ยิ่งฝืดเคืองเข้าไปใหญ่
เฉพาะกรณีจีนเองที่เขาเข้ามา แล้วมากว้านซื้อคอนโดมิเนียมอะไรต่างๆ แล้วปล่อยเช่ากันเอง ก็ได้รายได้กันเอง แล้วก็กลับไป โดยใช้ทรัพยากรไทย มองเรื่องนี้อย่างไร
ได้มีการประชุมกับทางผู้แทนสมาคมโรงแรม 2-3 ครั้ง ก็เริ่มเป็นที่กังวลของผู้ประกอบการโรงแรมว่านักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเขาไปอยู่คอนโดมิเนียมซึ่งคนของเขามาซื้อเอาไว้แล้วไปปล่อยเช่าต่อจากคนของเขา ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมเราเสียโอกาสเสียรายได้ไป ซึ่งตรงนี้จะเริ่มมีมากขึ้น คิดว่าหลายประเทศเขาก็เจอปัญหานี้ ดังนั้น เราก็ต้องมีมาตรการที่จะบังคับใช้กฎหมายให้เข้มแข็ง รวมทั้งนิติบุคคลของคอนโดมิเนียมเองก็ต้องสอดส่องดูแลให้เข้มแข็ง ถึงแม้ว่าจะปล่อยขายไปแล้ว ถ้าเขาไปปล่อยเช่าต่อและผิดระเบียบที่นิติบุคคลตกลงไว้กับลูกบ้าน ก็ต้องมีมาตรการในการที่จะบังคับใช้ระเบียบภายในให้เข้มแข็ง และเมื่อบังคับใช้แล้วไม่เชื่อฟัง ก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง คือถ้าหากทำได้ก็จะทำให้การไปพักในคอนโดมิเนียมต่างๆ อาจจะลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ มีบางคอนโดมิเนียมที่หลุดรอดไปได้เพราะคนที่อยู่ในคอนโดมิเนียมเอง ข้างห้องอาจจะยังไม่ได้เข้ามาอยู่ ก็อาจจะไม่มีใครรายงาน อย่างน้อยที่สุด บุคคลที่คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของแต่ละแห่ง หรือแม่บ้าน คือต้องไม่เห็นแก่เงินเล็กเงินน้อยที่เจ้าของห้องชุดนั้นเขามอบให้ ดังนั้น บุคลากรในคอนโดมิเนียมเองจะต้องรู้ว่ากฎระเบียบของคอนโดมิเนียมมีอะไรบ้าง และต้องชัดเจนว่า คนที่เข้ามาพักนี้ผิดระเบียบหรือเปล่า ถ้าผิดระเบียบต้องมีหน้าที่รายงานต่อนิติบุคคล ถ้านิติบุคคลเห็นว่าผิดระเบียบก็ต้องตักเตือนไปตามระเบียบของคอนโดมิเนียม แล้วถ้ายังไม่เชื่อก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต่อไป หรือว่าอาจจะต้องมีเรื่องของสรรพากรเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะหากเอาเรื่องสรรพากรมาเกี่ยวข้อง เจ้าของห้องชุดจะกลัว เพราะปกติหลบเลี่ยงภาษีอยู่ คือให้เช่า เกิดรายได้ แล้วต้องเสียภาษี ถ้าเกิดว่าระบบสรรพากรเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาก็อาจไม่อยากจะทำเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ทั้งนี้ อะไรก็แล้วแต่ ก็จะกลับกลายมาเป็นผลร้ายกับเราเอง เพราะถ้าหากว่าชุมชนของท่าน อาคารชุดมีแต่คนต่างด้าวมาอยู่มันก็คงไม่มีความสุขหรอก รวมถึงนิติบุคคล อย่างไรก็แล้วแต่นิติบุคคลก็เป็นคนไทยอยู่แล้ว ซึ่งทำหน้าที่อยู่ได้อย่างไรในเมื่อคนทั้งคอนโดมิเนียม เป็นคนต่างด้าวที่ตัวเองปล่อยปละละเลยให้เข้ามา มันคงทำให้เราไม่มีความสุขหรอก
ก่อนหน้ามีดาราจีนถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก แล้วมีประเด็นเตือนคนของเขา จากนั้นก็มีการตัดน้ำตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พอมาถึงวันนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
กระแสมันยังไม่ได้ลดน้อย เพราะเมื่อเกิดเรื่องมันก็ยังวนเวียนอยู่ในกระแสประมาณครึ่งปี แล้วเรื่องอื่นเข้ามาแทนขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง อันดับสองก็ว่าไป ฉะนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่บังเอิญสอดคล้องกับความสนใจของโลกใบนี้ด้วย เพราะในเรื่องการฉ้อโกงกัน มันเดินกันทั่วโลก ยังคงวนเวียนอยู่ในกระแสของโซเชียลอยู่ แต่เชื่อว่านักท่องเที่ยวหลายคนก็เริ่มมีความเข้าใจในเหตุการณ์มากขึ้น ว่ามีกระบวนการเหล่าร้าย ฉะนั้น นักท่องเที่ยวเองเขาก็เริ่มจะแยกแยะออกได้ว่าเป็นอย่างไร เพียงแต่ต้องตำหนิรัฐบาลไทยเท่านั้นเอง จริงๆ เรื่องเหล่านี้แม้ภาคเอกชนเองรู้เรื่องราวมาดีตลอดอยู่แล้ว เราเองก็เคยบ่นไปยังกรรมาธิการของทางด้านวุฒิสภาของชุดที่แล้ว ตั้งแต่ประมาณต้นปีที่แล้ว แต่ปฏิบัติการของเราที่ตอบโต้เข้มแข็งจริงจังในการเข้าไปแก้ไขปัญหามันช้าไปหน่อยนึง ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องกลับไปทบทวนว่าครั้งหน้า ถ้าปฏิบัติการบางอย่างซึ่งมันมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเข้ามาเที่ยวในไทย ต้องนำมาปฏิบัติให้รีบด่วนหน่อย
ในนามของสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเอสเอ็มอี อยากได้การส่งเสริมและช่วยเหลืออะไรบ้าง
จริงๆ พิษภัยจากเรื่องโควิดซึ่งผ่านไป 3-4 ปีนี้ก็ยังทำให้ผู้ประกอบการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ไม่ได้ฟื้นตัวเร็วมากนัก เพราะส่วนหนึ่งของนักท่องเที่ยวขณะนี้เขาก็เริ่มมาเที่ยวเองมากขึ้น ไม่ได้ผ่านมือผู้ประกอบการ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลต้องทำก็คือเร่งทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวเราดี เพราะถ้าบรรยากาศการท่องเที่ยวเราดี อย่างน้อยสัดส่วนของทุกมิติในการเดินทางเข้ามาในไทยจะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะมาเที่ยวเองไม่ผ่านทัวร์ก็เพิ่มขึ้น มาเที่ยวผ่านทัวร์ก็เพิ่มขึ้น เราคงจะเรียกร้องให้ย้อนกลับไปให้นักท่องเที่ยวเที่ยวผ่านทัวร์ให้มากเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ทุกอย่างมันดีขึ้น และสัดส่วนของการท่องเที่ยวทุกรูปแบบมันดีขึ้น
ที่สำคัญ เรื่องของทุนในธุรกิจการท่องเที่ยว ควรช่วยให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลดภาระในการกู้ยืม เข้าถึงการกู้ยืมได้ง่ายขึ้น เพราะเนื้อแท้ของการกู้ยืมผ่านแบงก์ของรัฐหรือแบงก์เอกชนก็ดี ต้องเป็นเนื้อแท้ของการคิดค่าธรรมเนียมดอกเบี้ยเป็นกรณีที่พิเศษจริงๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการเอามาต่อยอดขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้ ตรงนี้ต้องหารือร่วมกันอย่างแข็งแรงมาก
ท่องเที่ยวไทย อย่างไรก็ยังพอไปได้
ถูกต้อง คิดว่าเมื่อเทียบกับปัญหาด้านการส่งออกของไทยเรา ถือว่าภาคบริการยังประสบปัญหาน้อยกว่าส่งออกบางตลาด ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ก็มีปัญหามาก หรืออุตสาหกรรมการผลิตฮาร์ดดิสก์ของเราก็มีปัญหามากขึ้น ขณะที่ภาคบริการของเรายังถือว่าเข้มแข็งอยู่ เพียงแต่จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ให้ความเข้มแข็งอันนี้กลับมาฟื้นตัวให้เร็วมากขึ้น อย่างชนิดที่เรียกว่าแซงหน้าเพื่อนบ้านในประเทศเอเชียทั้งหมด เราจะกลับมาเป็นที่หนึ่งเอเชีย และอาจจะอยู่ในท็อปเทนของโลกอย่างภาคภูมิว่าเรามีพื้นฐานที่มั่นคงทุกอย่างแล้ว
คู่แข่งต่างๆ อย่างญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ที่เขาพยายามดึงนักท่องเที่ยว น่ากลัวหรือไม่
ตอนนี้น่ากลัวโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขามีมาตรฐานทุกด้านสูงกว่าเรา ส่วนที่ไม่ได้มีมาตรฐานสูงกว่าเราอย่างเวียดนามก็เริ่มมีการพัฒนาในการที่จะเอาใจใส่ดูแลนักท่องเที่ยว พยายามเชื้อเชิญนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น อันนี้เราก็ต้องคอยพยายามแก้ไขปัญหา ส่วนจีนไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว เขามีความพร้อม มีความใหญ่อยู่แล้ว และมีหลากหลายมิติทางการท่องเที่ยว ดังนั้น เราก็ต้องพยายามเอาเรื่องของภาคบริการ เรื่องของมิตรภาพ ความใส่ใจอ่อนโยนของคนไทยเข้าสู้ ซึ่งก็ไม่เสียเปรียบหรอก
ทั้งนี้ รัฐบาลช่วยเข้าใจภาคเอกชนหน่อย หารือให้จริงจังมากกว่านี้สักนิดนึง เพราะตอนนี้ระยะห่างเรากับรัฐบาลยังมีอยู่ ยังไม่ได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดเลย ก็อยากจะวิงวอนว่า ถ้าหากเข้ามาร่วมทำงานให้เข้มแข็งมากขึ้น คุยกันให้บ่อยมากกว่านี้หน่อย ก็จะทำให้ท่องเที่ยวก้าวไกลมากกว่าเดิมแน่นอน
ล่าสุดที่ทางสถานทูตต่างๆ เตือนคนของเขาที่จะเข้ามาเที่ยวในไทย
อย่างน้อยเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์คงไม่เกิดซ้ำรอยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะแม้กระทั่งรัฐบาลจีนเองก็มีความใส่ใจในมณฑลซินเจียงมากขึ้น เขาก็มีการพัฒนาทุ่มเททุ่มทุนทุ่มเงินไปพัฒนาฟื้นฟูในชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มากขึ้น ฉะนั้น มิติของความแตกแยกความรุนแรงต่างๆ มันไม่เหมือน 10 ปีที่แล้ว การที่กังวลว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยหรือไม่ เอาเป็นว่าในฐานะคนไทย เราก็ไม่ประมาท เราก็ต้องเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐด้วย หากพบสิ่งที่เราสงสัย หรือความเคลื่อนไหวอะไร มีคนมาเช่าบ้าน หน้าตาเป็นชาวต่างประเทศ หน้าตาที่เราเข้าใจว่าไม่น่าไว้วางใจ ก็คอยเป็นหูเป็นตาให้ภาครัฐ ถือเป็นการช่วยอีกทางหนึ่ง แต่ยังมั่นใจไม่น่าจะมีมิติความรุนแรงเกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้เราเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยด้วย เป็นเงื่อนไขเล็กๆ ที่ต่างจากคราวที่แล้ว ตรงนี้ก็น่าจะเบาใจระดับหนึ่งว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบเดิม
Comentarios